“เปิ้ล-จูน” เปิดตัวธุรกิจน้ำปลาร้าส้มป่อย เผยเคล็ดลับความสำเร็จจากการบริจาคโลงศพ

คู่สามีภรรยาคนดัง “เปิ้ล นาคร ศิลาชัย” และ “จูน กษมา” ก้าวสู่ธุรกิจน้ำปลาร้าภายใต้แบรนด์ “ส้มป่อย” ด้วยความมั่นใจในรสชาติอร่อยจากประสบการณ์การต้มน้ำปลาร้าในร้านอาหารของตนเองมากว่า 20 ปี แม้จะมีคู่แข่งขันจำนวนมากในตลาด แต่พวกเขาเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จด้วยเคล็ดลับพิเศษจากการบริจาคโลงศพ

เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจใหม่:

เปิ้ลและจูนเปิดเผยถึงที่มาของการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจน้ำปลาร้า โดยระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาถนัดและมีความชำนาญมากที่สุด หลังจากที่ผ่านการทำธุรกิจสกินแคร์และร้านอาหารมาแล้วกว่า 10 ปี

“เราจะไปขายอย่างอื่นทำไม เพราะเราถนัดน้ำปลาร้าไง เราต้มขายในร้านอาหารมาเกือบ 20 ปีแล้ว” จูนกล่าว

เปิ้ลเสริมว่า “คืออันดับแรกเราต้องคิดก่อนว่าเราถนัดอะไร เราต้มน้ำปลาร้า เรารู้ว่าอันนี้อร่อย กลิ่นนี้หอม พอเราตัดสินใจจะทำ เราค่อยมาศึกษาตลาดว่าการแข่งขันมันก็สูง คนทำกันเยอะ แต่ทำยังไงได้ถ้าเราอยากจะทำอะไรก็ต้องศึกษาตลาดให้ดีและทำให้ดีที่สุด”

 ความพิเศษของน้ำปลาร้าส้มป่อย

ถึงแม้จะมีคู่แข่งขันจำนวนมาก แต่จูนมั่นใจว่าน้ำปลาร้าของพวกเขามีรสชาติที่โดดเด่น “ถ้าถามถึงความพิเศษของเราเนี่ย เราก็ไม่ได้ไปเทียบกับทุกแบรนด์ว่ามันต่างยังไง แต่จูนมั่นใจว่ามันอร่อย และอยากให้ทุกคนเปิดใจ”

เปิ้ลเสริมว่า “ก็เหมือนเราทำร้านอาหารแหละ ถึงเราจะโปรโมตดีแค่ไหน แต่ถ้าอาหารเราไม่อร่อย ก็ตายเหมือนกัน ซึ่งถ้าเกิดคุณจะทำน้ำปลาร้าสักตัวนึง สิ่งแรกคือต้องอร่อยก่อนนะ”

ที่มาของชื่อ “ส้มป่อย” ที่แปลกและมีมงคล

นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ชื่อ “ส้มป่อย” ก็เป็นสิ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเปิ้ลเปิดเผยว่า “ชื่อเราก็มาคิดกันว่าจะชื่ออะไรดี ถ้าเป็นแม่จูน ตาเปิ้ลก็คงจะขายไม่ได้ ก็ไปสายมู”

“คือเราสายมูอยู่แล้ว พอดีวันนั้นเราไปอาบน้ำมนต์อยู่ ก็ให้หลวงพ่อคิดชื่อให้ เขาก็บอกว่าส้มป่อยนี่แหละ เราก็เอาเลย จริงๆ คำว่าส้มป่อยมันมาจากคนที่เขาเอาไปใช้ทำน้ำมนต์ ปลุกเสกอะไรต่างๆ” จูนอธิบาย

เปิ้ลกล่าวเสริมว่า “คนอีสาน คนเหนือจะรู้จักส้มป่อยเป็นอย่างดี เราเลยรู้สึกว่าน้ำปลาร้าตราส้มป่อยมันชื่อแปลกไปหรือเปล่า แต่มันเป็นมงคลนะ ใครเอาไปกินก็คงอร่อยอยู่แล้ว แต่ถ้าเอาไปขายก็คงเป็นสิริมงคลนะ”

เคล็ดลับความสำเร็จจากการบริจาคโลงศพ

จุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของเปิ้ลและจูนประสบความสำเร็จมาจากการบริจาคโลงศพให้แก่ผู้เสียชีวิตที่ขาดโลงศพ โดยจูนบอกว่า “จูนก็ไปบริจาคโลงศพบ้าง ไปแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว ทำแล้วได้ดี และไม่ได้ดีแค่ตัวจูนเอง แต่คนรอบข้างที่เขาร่วมด้วยก็จะมาบอกตลอดว่าเขาขอแล้วได้ จูนว่ามันไม่ใช่ความเชื่อนะ แต่มันเป็นสิ่งที่คนไม่มีโลงจริงๆ ก็คือไม่มีนะ”

เปิ้ลเสริมว่า “เวลาจูนเขาไปบริจาค เขาบริจาคทีเป็น 100-200 โลง ตั้งเป้าไว้ 1,000 โลง คือวันนึงมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่ามีคนมาบอกว่าพ่อเขาตาย แล้วไม่มีโลงศพ จูนก็บอกว่าเอาอันนี้ไปให้เลย โอ้โห เขาร้องไห้ ขอบคุณเรา ก็รู้สึกว่ามันคือประโยชน์มากๆ ยังมีคนอีกจำนวนมากนะที่ตายแล้วก็ยังไม่มีโลงศพใส่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีและเราก็สนับสนุนให้จูนทำ”