การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นยักษ์วัดอุโมงค์: การรักษามรดกทางวัฒนธรรมล้านนา

กรมศิลปากรได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการบูรณะประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์ ณ วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชน โดยยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวยึดตามแบบศิลปกรรมดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด

นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นยักษ์คู่นี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงบันไดด้านทิศตะวันออกของทางเข้าพระธาตุวัดอุโมงค์ ได้ดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา

ในการบูรณะครั้งนี้ ทางกรมศิลปากรได้พิจารณาแนวทางการดำเนินงานอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ของโบราณสถานในปัจจุบัน ตลอดจนคติความเชื่อที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแนวทางการบูรณะแบบฟื้นคืนสภาพ ซึ่งเป็นวิธีที่กรมศิลปากรเคยใช้ในการบูรณะโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง เช่น องค์พระมงคลบพิตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และองค์พระอจนะที่วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย

กระบวนการบูรณะอย่างพิถีพิถัน

ในการบูรณะประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ทั้งสองตนนี้ ทางกรมศิลปากรได้ดำเนินการตามหลักการอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากการทำความสะอาดคราบเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และกำจัดวัชพืช จากนั้นจึงทำการผนึกปูนปั้นเดิมด้วยการไล้ผิวด้วยน้ำปูนและปูนหมัก เพื่อให้ผิวประติมากรรมที่มีรอยร้าวผสานเข้ากับปูนปั้นที่ใช้ในการบูรณะได้อย่างกลมกลืน 

นอกจากนี้ ยังได้มีการปั้นปูนใหม่เพื่อเสริมในส่วนที่ขาดหายไป โดยเฉพาะบริเวณแขนที่ชำรุด รวมถึงการออกแบบกระบองใหม่ให้มีลักษณะเรียบง่ายและมีขนาดสัดส่วนที่เหมาะสมกับรูปยักษ์ ทั้งนี้ การบูรณะทั้งหมดได้ดำเนินการโดยช่างฝีมือท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับการบันทึกขั้นตอนต่าง ๆ ไว้อย่างละเอียดโดยหอจดหมายเหตุเชียงใหม่

ความท้าทายในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

แม้ว่าการบูรณะครั้งนี้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะ กับความจำเป็นในการฟื้นฟูและปกป้องโบราณสถานจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ 

การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นยักษ์วัดอุโมงค์ครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมล้านนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างมีวิธีการและหลักการที่ถูกต้อง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดและเรียนรู้ต่อไป