เปิดม่านชีวิต “หมอลำขอข้าว” ศิลปะพื้นบ้านที่ยังคงมีลมหายใจในยุคดิจิทัล

ในโลกของความบันเทิงที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงและเทคโนโลยีทันสมัย ยังมีศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่ยังคงรักษาเสน่ห์และคุณค่าทางวัฒนธรรมไว้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือ “หมอลำขอข้าว” รูปแบบการแสดงที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของศิลปินพื้นบ้านอีสานอย่างแท้จริง

หมอลำขอข้าว เป็นคณะหมอลำขนาดเล็กที่ไม่ได้มีทุนรอนมากมายเหมือนคณะใหญ่ๆ ที่รับงานแสดงด้วยค่าจ้างนับล้าน พวกเขาเลือกที่จะรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ด้วยการแลกเปลี่ยนความบันเทิงกับข้าวสาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต

วันแสดงของหมอลำขอข้าวเริ่มต้นด้วยการกางเวทีแบบเรียบง่าย โดยไม่คิดค่าจ้างจากชุมชน พวกเขาทุ่มเทความสามารถทั้งการร้องเพลง การกล่าวกลอน และลีลาการฟ้อนรำอันงดงาม เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม หลังจบการแสดง พวกเขาจะนอนพักผ่อนหลังเวทีเพียงคืนเดียว ก่อนที่จะออกเดินรับบริจาคข้าวจากชาวบ้านในหมู่บ้านในวันรุ่งขึ้น

ชีวิตเร่ร่อนบนท้องถนน: วิถีของหมอลำขอข้าว

ชีวิตของหมอลำขอข้าวดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย พวกเขาเดินทางไปกับรถบรรทุกคันเล็กที่ใช้ขนเวทีและเครื่องเสียง โดยจัดตารางการแสดงของตัวเองหลังจากตกลงกับชุมชนหรือวัดที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดง โดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มีงานแสดงกับเวทีใหญ่

การเตรียมตัวก่อนการแสดงของหมอลำขอข้าวเริ่มตั้งแต่การตั้งเวที การนำชุดการแสดงออกมาซ่อมแซมด้วยมือ โดยไม่มีผู้ช่วย ทุกอย่างทำด้วยตัวเองในพื้นที่ส่วนตัวที่จัดสรรไว้ ซึ่งหลังจากการแสดงจบลงก็จะกลายเป็นที่พักค้างคืนไปโดยปริยาย

ก่อนการแสดงประมาณ 3 ชั่วโมง พวกเขาจะนำลำโพงและไมโครโฟนขึ้นรถพ่วงข้างเพื่อออกไปประกาศให้ชาวบ้านทราบถึงการแสดงที่จะเกิดขึ้นในคืนนั้น เช่น การแสดงของคณะ “ขันทอง นิยมศิลป์” ที่วัดมะเดื่อ เทศบาลตำบลบ้านค้อ จังหวัดขอนแก่น

อาหารการกิน: เรียบง่ายแต่อิ่มท้อง

ระหว่างวัน ศิลปินจะพักผ่อนเพื่อเก็บแรงสำหรับการแสดง ก่อนเวลาแสดงพวกเขาจะทยอยไปอาบน้ำที่วัด และรวมตัวกันรับประทานอาหารอย่างเรียบง่าย โดยใช้เตาและกระทะที่เตรียมมาเอง

เมนูหลักของพวกเขาคือไข่คั่วน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการปรุงอาหารแบบประหยัดแต่อิ่มท้อง โดยการตอกไข่ไก่เพียงฟองเดียวลงในกระทะ แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า ทำให้ดูเหมือนมีปริมาณมากขึ้น รับประทานคู่กับน้ำพริกและผักสด โดยเฉพาะสะเดาที่เด็ดมาจากในวัด อาหารมื้อนี้สามารถแบ่งกันรับประทานได้ถึง 6-7 คนในคณะ

แม้จะเป็นการกินอยู่อย่างเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าขาดแคลน บรรยากาศการรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุยอย่างสนุกสนาน สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตจริงที่ตรงข้ามกับภาพลักษณ์บนเวทีที่เต็มไปด้วยสีสันและความสวยงาม

เมื่อใกล้เวลาแสดง ทุกคนจะแต่งตัวและแต่งหน้า เปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นศิลปินบนเวที การแสดงเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงคนละ 2 เพลง ก่อนที่จะเข้าสู่การแสดงหมอลำเรื่อง

คณะหมอลำขอข้าวประกอบด้วยศิลปินหลากหลายวัย ตั้งแต่หมอลำสาวที่เริ่มอาชีพนี้ตั้งแต่จบชั้น ป.4 ไปจนถึงศิลปินอาวุโสวัย 60 ปี นอกจากนี้ยังมีหมอลำรุ่นใหม่ที่เป็นวัยรุ่นข้ามมาจากฝั่งลาว ซึ่งเลือกมาเป็นหมอลำฝึกหัดในคณะด้วยความสมัครใจ เนื่องจากโอกาสในการแสดงที่ประเทศลาวมีน้อย

การแสดงของหมอลำขอข้าวใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยศิลปินทั้ง 5 คนทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่ สลับกันขึ้นเวทีและลงมาดูแลระบบเสียง แม้ว่าจำนวนผู้ชมอาจจะไม่มากนัก แต่บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความใกล้ชิดและเป็นกันเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างหมอลำขอข้าวกับชุมชนเป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนความบันเทิงกับข้าวสาร แต่เป็นการแสดงถึงความเอื้ออาทรและการพึ่งพาอาศัยกันในสังคมชนบท ซึ่งยังคงมีอยู่แม้ในยุคที่เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

หมอลำขอข้าวจึงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงศิลปะพื้นบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวอีสานไว้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคม