เปิดปริศนาศพในตู้ไฟฟ้า: กล้องวงจรปิดเผยความจริงสุดช็อก

เหตุการณ์สลดใจเกิดขึ้นในย่านมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เมื่อมีการพบศพชายนิรนามในสภาพเน่าเฟะภายในตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานบนทางเท้าใกล้ถนนร่มเกล้า เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านในละแวกนั้นและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าที่พบศพมีขนาดกว้าง 45 เซนติเมตร ยาว 90 เซนติเมตร และสูง 100 เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานคอนกรีตขนาด 1 เมตร x 1.3 เมตร โดยมีช่องว่างใต้ฐานลึกประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นที่ที่พบศพนอนอยู่ในท่าคุดคู้ มือขวากำสายไฟแน่น

เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูได้ทำการกู้ศพออกมาด้วยความยากลำบาก โดยต้องประสานงานกับการไฟฟ้านครหลวงเพื่อตัดกระแสไฟฟ้าก่อนดำเนินการ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือพิเศษถอดตู้และสกัดคอนกรีตเพื่อนำศพขึ้นมา

การสืบสวนเบื้องต้น

จากการตรวจสอบศพพบว่าเป็นชายไม่ทราบชื่อ สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน สภาพศพบวมอืดและเน่าเฟะ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว 2-3 วัน ในกระเป๋ากางเกงพบของส่วนตัวเล็กน้อย รวมถึงเงินสด 20 บาท

นางปนัดดา งอกงาม พนักงานกวาดขยะของสำนักงานเขตมีนบุรี เป็นผู้พบศพและแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอเล่าว่าได้กลิ่นเหม็นขณะปฏิบัติหน้าที่ในเช้าวันที่พบศพ จึงเข้าไปตรวจสอบและพบเหตุการณ์อันน่าสลดใจนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนอย่างเร่งด่วน โดยสอบปากคำพยานในบริเวณใกล้เคียงและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด

เปิดภาพกล้องวงจรปิด: เผยนาทีชี้ชะตา

การตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุได้เผยให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจ กล้องบันทึกภาพเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 11.23 น. แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตได้มุดเข้าไปในตู้ด้วยตัวเอง และไม่ได้ออกมาอีกเลย

ข้อค้นพบนี้ได้สร้างคำถามมากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ชายผู้นี้ตัดสินใจเข้าไปในตู้ไฟฟ้า และเหตุใดจึงไม่สามารถออกมาได้ เจ้าหน้าที่ยังคงทำการสืบสวนต่อไปเพื่อหาคำตอบและระบุตัวตนของผู้เสียชีวิต

ขณะนี้ศพได้ถูกส่งไปยังสถาบันนิติเวชวิทยาเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการได้ผลการตรวจสอบอย่างละเอียด

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสลดใจให้กับผู้พบเห็นเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ และความจำเป็นในการสอดส่องดูแลซึ่งกันและกันในชุมชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีกในอนาคต