ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับผลงานบนเวทีดีเบต ทำเนียบขาวได้ออกมาเปิดเผยว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังคงยืนยันที่จะไม่ถอนตัวจากการเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม
แครีน ฌอง ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาว ได้แถลงเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ว่า ประธานาธิบดีไบเดน วัย 81 ปี มีกำหนดการที่แน่นขนัดในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงการพบปะกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต และผู้ว่าการรัฐต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีการนัดหมายให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประธานาธิบดีในการดำเนินงานต่อไป
ความท้าทายจากการดีเบตครั้งล่าสุด
การแถลงข่าวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับผลงานที่ไม่น่าประทับใจในการขึ้นเวทีดีเบตกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โฆษกทำเนียบขาวได้ชี้แจงว่า ความผิดพลาดในการดีเบตครั้งนี้มีสาเหตุมาจากอาการป่วยไข้หวัด และความเหนื่อยล้าสะสมจากการเดินทางก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้ประธานาธิบดีมีค่ำคืนที่ไม่ดีนักบนเวที
ประธานาธิบดีไบเดนเองก็ได้ออกมายอมรับว่า ผลงานดีเบตของเขาที่ย่ำแย่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นมีสาเหตุมาจากอาการเจ็ตแล็ก โดยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาไม่ได้ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดนักที่ออกเดินทางรอบโลกถึง 2-3 ครั้งก่อนที่จะขึ้นเวทีดีเบต และยังยอมรับว่าเขาไม่ได้ฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่งผลให้เกือบจะหลับไปบนเวทีดีเบต
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าประธานาธิบดีไบเดนได้เดินทางกลับจากการเยือนต่างประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ก่อนการดีเบตที่จัดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับคำอธิบายของทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีเอง
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความกังวลที่เพิ่มขึ้น บรรดาแกนนำพรรคเดโมแครตหลายคนได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ทำเนียบขาวกำลังพยายามแก้ต่างให้กับประธานาธิบดีไบเดน แต่คำอธิบายทั้งหมดล้วนเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลและฟังไม่ขึ้น
แม้จะเผชิญกับความท้าทายและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทำเนียบขาวยังคงยืนยันว่าประธานาธิบดีไบเดนไม่มีความตั้งใจที่จะถอนตัวจากการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าและแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งผ่านตารางงานที่แน่นขนัดในสัปดาห์ต่อๆ ไป ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความพร้อมและความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานาธิบดีต่อไป