นายกฯ ฮังการี มหามิตรปูติน เยือนยูเครนอย่างไม่เป็นทางการ เรียกร้องหยุดยิงเพื่อเร่งสันติภาพ

วิคตอร์ ออร์บาน ผู้นำฮังการีที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ได้เดินทางเยือนยูเครนอย่างไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี เมื่อวันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง และเร่งกระบวนการเจรจาสันติภาพให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

การเยือนครั้งนี้ของนายออร์บานถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาเป็นผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ที่มีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์การสนับสนุนยูเครนของชาติตะวันตกอย่างรุนแรงที่สุด อีกทั้งยังเพิ่งได้รับตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งจะหมุนเวียนทุก 6 เดือน ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นผู้นำ EU ที่มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีปูตินมากที่สุด

ในการพบปะกับประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน สังเกตได้ว่าภาษากายของทั้งสองฝ่ายไม่ได้แสดงถึงความอบอุ่นหรือเป็นมิตรแต่อย่างใด และทั้งคู่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามใดๆ จากสื่อมวลชนหลังจากแถลงการณ์ร่วมสิ้นสุดลง

 บทบาทของฮังการีในความช่วยเหลือยูเครน

ก่อนหน้านี้ นายออร์บานเคยแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนยูเครนของ EU โดยได้ถ่วงเวลาในการทำข้อตกลงกับประเทศสมาชิกอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ยูเครนมูลค่า 50,000 ล้านยูโร ซึ่งการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปในปัจจุบัน ทำให้เขามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำการออกกฎหมายของยุโรป ควบคู่ไปกับรัฐสภายุโรป

ในแถลงการณ์หลังการหารือ ประธานาธิบดีเซเลนสกีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการได้รับการสนับสนุนจากยุโรปอย่างเพียงพอ และความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

ในขณะเดียวกัน นายออร์บานได้เสนอแนวคิดเรื่องการหยุดยิงเพื่อเร่งกระบวนการเจรจากับรัสเซีย โดยกล่าวว่า “ผมได้ขอให้ประธานาธิบดี (ยูเครน) พิจารณาว่าการหยุดยิงอย่างรวดเร็ว จะสามารถเร่งความเร็วของการเจรจาสันติภาพได้หรือไม่ ผมขอบคุณสำหรับคำพูดและคำตอบอย่างตรงไปตรงมาของเขา”

อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวยูเครนจำนวนมากมีความกังวลว่าการหยุดยิงอาจส่งผลให้การยึดครองดินแดนของรัสเซียในยูเครนมีความมั่นคงมากขึ้น และหากจะมีการเจรจาเกิดขึ้น พวกเขาต้องการให้เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ยูเครนมีอำนาจต่อรองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การเยือนครั้งนี้ของนายออร์บานสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ทางการเมืองในยุโรป และความท้าทายในการหาทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป