รัฐบาลเพิ่มงบช่วยเหลือผู้มีภาวะพึ่งพิง รองรับสังคมผู้สูงวัย

รัฐบาลไทยประกาศแผนการเพิ่มเงินสนับสนุนสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มจากเดิม 6,000 บาทต่อคนต่อปี เป็น 10,442 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 4,442 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 74 การปรับเพิ่มงบประมาณนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังเติบโตขึ้นในประเทศไทย

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นอกจากการเพิ่มงบประมาณแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายกลุ่มเป้าหมายของผู้ได้รับความช่วยเหลือ โดยคาดว่าจะครอบคลุมผู้มีภาวะพึ่งพิงได้ถึง 600,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ดูแลเพียง 320,000 คนต่อปี การขยายกลุ่มเป้าหมายนี้จะรวมถึงผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมตั้งแต่ระดับปานกลาง และผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

การเพิ่มงบประมาณนี้จะช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีทรัพยากรเพิ่มขึ้นในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ของตน ส่งผลให้หน่วยบริการสามารถจัดบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้หน่วยบริการที่มีศักยภาพ เช่น สถานชีวาภิบาลในชุมชน เข้าร่วมในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงในระบบมากขึ้น

ความท้าทายในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง

แม้ว่าการเพิ่มงบประมาณและขยายกลุ่มเป้าหมายจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง แต่ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข เช่น:

  1. การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญ
  2. การเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกล
  3. การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวที่ยั่งยืน
  4. การสร้างความตระหนักในสังคมเกี่ยวกับความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง

นายคารมย้ำว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยการดำเนินการนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งจะทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านกลไก “ระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่” (Long Term Care : LTC)

การเพิ่มงบประมาณและขยายกลุ่มเป้าหมายนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมของประเทศไทย และสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้จะขึ้นอยู่กับการนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม