หญิงวัย 50 ปีต้องเผชิญกับโรคร้ายหลังจากมีพฤติกรรมการใช้สำลีก้านปั่นหูเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากอาการคันหูที่รบกวน ทำให้เธอต้องพบกับปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงและไม่คาดคิด นำไปสู่การตรวจพบโรคมะเร็งหูที่หาได้ยาก กรณีนี้ได้รับการเปิดเผยโดย ดร.หวู่ จ้าวกวน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิกวิทยา ผ่านการโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “健康多1點” เพื่อเตือนภัยและให้ความรู้แก่สาธารณชน
จากอาการคันหูสู่การค้นพบโรคร้าย
เรื่องราวของหญิงวัย 50 ปีรายนี้เริ่มต้นจากอาการคันหูที่รบกวนเป็นประจำ นำไปสู่การใช้สำลีก้านปั่นหูทุกวันเพื่อบรรเทาอาการ แต่การกระทำดังกล่าวกลับส่งผลเสียมากกว่าผลดี โดยความถี่ในการพยายามระงับอาการคันด้วยตนเองที่มากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบและมีการหลั่งของเหลวที่มีลักษณะเป็นหนองออกมา
ในช่วงแรก ผู้ป่วยไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากนัก และยังคงใช้สำลีก้านเพื่อบรรเทาอาการคันต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป อาการต่างๆ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น โดยเธอพบว่าไม่สามารถสอดสำลีเข้าไปในหูได้อีกต่อไป และเริ่มมีอาการหูตึง หูอื้อ รวมถึงการสูญเสียการได้ยินในที่สุด
การวินิจฉัยที่น่าตกใจ: มะเร็งเซลล์สความัส
เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก เธอจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หลังจากการตรวจร่างกาย ทำความสะอาด และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจวิเคราะห์ ผลการวินิจฉัยพบว่าผู้ป่วยเป็นโรค “มะเร็งเซลล์สความัส” ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดหายากที่เกิดขึ้นในบริเวณหู
คำเตือนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ดร.หวู่ อธิบายว่า แม้การเกิดมะเร็งในหูจะไม่ใช่เรื่องที่พบได้บ่อย แต่การสะสมของสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในหูโดยไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม หรือการได้รับความเสียหายจากแรงกระทำภายนอก อาจนำไปสู่การทำลายเซลล์อย่างต่อเนื่อง และหากกระบวนการซ่อมแซมของร่างกายล้มเหลว ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
วิธีการดูแลหูที่ถูกต้องและปลอดภัย
ดร.หวู่ ได้ให้คำแนะนำสำหรับการดูแลสุขภาพหูที่ถูกต้องและปลอดภัย ดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการใช้สำลีก้านปั่นหู เนื่องจากอาจทำให้ขี้หูถูกดันเข้าไปลึกขึ้น และยากต่อการนำออก
- เลือกใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดหูที่ออกแบบมาเฉพาะ และใช้อย่างระมัดระวัง
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น คันหู หูอื้อ หรือมีสารคัดหลั่งผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
- ทำความสะอาดหูอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไปจนทำลายสมดุลธรรมชาติของหู
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเสียงดังเกินไปเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบการได้ยิน
กรณีนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหูอย่างถูกวิธี และไม่ควรละเลยอาการผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้น การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้