จับกุม “เมย์นักบุญ” ผู้ต้องหาคดีแชร์ลูกโซ่ออนไลน์มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่สืบนครบาลประสบความสำเร็จในการจับกุมผู้ต้องหาคดีแชร์ลูกโซ่ออนไลน์รายสำคัญ หลังจากหลบหนีการจับกุมมานานกว่า 3 ปี โดยใช้วิธีแฝงตัวเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเพื่อติดตามจับกุม

รายละเอียดการจับกุม:

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 เจ้าหน้าที่สืบนครบาลได้จับกุมตัว น.ส. พิมพ์ประภัสสร อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และ “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถวัดแห่งหนึ่งในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

ประวัติการกระทำความผิด:

ผู้ต้องหาเป็นหนึ่งใน “แม่ทีม” คนสำคัญของบริษัท โอดี แคปปิตอล จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจแชร์ลูกโซ่ออนไลน์ในช่วงปี 2560 โดยหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนในการเทรดค่าเงิน forex พร้อมสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 10 ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดโดยเสนอสิทธิพิเศษ เช่น การท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อจูงใจให้ผู้ลงทุนชักชวนคนอื่นเข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก โดยในคดีนี้มีผู้เสียหายสูญเงินกว่า 5 ล้านบาท

วิธีการหลบหนีและการจับกุม:

หลังจากวงแชร์ล่มและผู้บริหารบริษัทถูกจับกุม ผู้ต้องหาได้เปลี่ยนตัวเองเป็น “เจ้าแม่สายบุญ” เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งใช้วิธีเปลี่ยนทรงผมบ่อยครั้งเพื่อหลบเลี่ยงการจดจำของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามของทีมสืบสวน นำโดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงแฝงตัวเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา จนสามารถระบุตัวและจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด

 คำให้การของผู้ต้องหา

ในชั้นจับกุม น.ส.พิมพ์ประภัสสรให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นการลงทุนจริง ไม่ใช่การฉ้อโกง และตนเองก็ได้รับผลตอบแทนจริง เธอเล่าว่าได้รับการชักชวนจากคนรู้จักให้ร่วมลงทุนในการเทรดหุ้น และได้รับผลกำไรร้อยละ 7 ต่อเดือน จึงได้ชักชวนคนอื่นมาร่วมลงทุน โดยใช้วิธีถ่ายรูปร้านเพชรและกิจการในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทประสบปัญหาในการจ่ายปันผล ทำให้เกิดคดีความขึ้น

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนทรงผมบ่อยครั้ง ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นเพราะลูกชายชอบให้เปลี่ยนตามแฟชั่นที่เห็นในสื่อออนไลน์ และยืนยันว่าการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเป็นเพราะชื่นชอบการทำบุญและปฏิบัติธรรม ไม่ได้มีเจตนาหลบหนี

ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป