วันที่ 18 มิถุนายน 2567 เป็นวันประวัติศาสตร์สำหรับชุมชน LGBTQIA+ ในประเทศไทย เมื่อมีการประกาศว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ผ่านการอนุมัติ ทำให้คู่รักทุกคู่สามารถจดทะเบียนสมรสได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศ นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายคนจะมองว่านี่เป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม แต่สำหรับชุมชน LGBTQIA+ แล้ว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนา
ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีเสียงคัดค้านจากบางส่วนของสังคม ที่มองว่าการเรียกร้องของกลุ่ม LGBTQIA+ นั้นมากเกินไป หรือไม่จำเป็น โดยมีความคิดเห็นเช่น “LGBTQIA+ เรียกร้องมากเกินไปไหม จะเอาทุกอย่างเลยหรือไง แค่นี้ประเทศก็เปิดกว้างมากพอแล้ว” หรือ “เอาเวลาไปผลักดันกฎหมายอื่นดีกว่าไหม อันนี้อะไรไร้สาระ”
เพื่อให้เข้าใจมุมมองของชุมชน LGBTQIA+ มากขึ้น Sanook ได้เชิญ ดร.พอลลี่ (ณฑญา เป้ามีพันธ์) และเดน่า (เดน่า ฮารัม) มาร่วมพูดคุยถึงความรู้สึกหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน รวมถึงแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และประเด็นอื่น ๆ ที่ยังต้องการการผลักดันต่อไป
ประสบการณ์การเป็น LGBTQIA+ ในสังคมไทย
ดร.พอลลี่ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะสมาชิกของชุมชน LGBTQIA+ ในประเทศไทย โดยเล่าถึงการเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและคำพูดที่สร้างความเจ็บปวด โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 90 ที่การยอมรับยังมีน้อยกว่าปัจจุบัน
“ในอดี คำว่า ‘อีตุ๊ด’ หรือ ‘อีกระเทย’ เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นเกย์ ทรานส์ หรือผู้ชายที่มีกิริยาคล้ายผู้หญิง” ดร.พอลลี่กล่าว “แม้ว่าปัจจุบันสังคมจะต่อต้านการใช้คำเหล่านี้มากขึ้น แต่ผมเติบโตมากับการถูกล้อเลียนด้วยคำเหล่านี้”
นอกจากนี้ ดร.พอลลี่ยังเล่าถึงประสบการณ์การเผชิญกับอคติในวงการวิชาการ “เคยเจอผู้ใหญ่ที่ไม่เชื่อว่าคนที่เป็นทรานส์วีเมนจะสามารถเป็นอาจารย์หรือนักวิชาการได้ พวกเขามักจะถามคำถามเพื่อทดสอบความสามารถของเรา”
อย่างไรก็ตาม ดร.พอลลี่เน้นย้ำว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้คือการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และแสดงให้เห็นว่าการเป็นทรานส์วีเมนไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถแต่อย่างใด
ความรู้สึกหลังสมรสเท่าเทียมผ่าน
ทั้งดร.พอลลี่และเดน่าแสดงความยินดีกับการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยมองว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยอมรับความหลากหลายทางเพศ
ดร.พอลลี่กล่าวว่า “นี่เป็นการยืนยันว่าประเทศของเราได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ความคิดของผู้ใหญ่และคนในสังคมได้พัฒนาไปในทิศทางที่เจริญขึ้น ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ประเทศเรายังยึดติดกับเรื่องเพศชายและเพศหญิงในทุกๆ กฎหมาย การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้นำประเทศ รัฐบาล และทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยไม่ยึดติดกับเรื่องเพศ”
มุมมองต่อความหลากหลายทางเพศ: ไทยเทียบกับต่างประเทศ
ด้วยประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างประเทศของทั้งคู่ – ดร.พอลลี่เคยศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี และเดน่าเกิดและเติบโตที่สหรัฐอเมริกา – พวกเขาได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความแตกต่างในการยอมรับ LGBTQIA+ ระหว่างไทยกับต่างประเทศ
ดร.พอลลี่อธิบายว่า “ในยุโรป กฎหมายสมรสเท่าเทียมและการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศมีมาก่อนประเทศไทย แต่ในบางพื้นที่ที่มีผู้นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมาก ยังคงมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความหลากหลายทางเพศ บางครั้งอาจมากกว่าในประเทศไทยด้วยซ้ำ ความแตกต่างอยู่ที่ประเทศเหล่านั้นให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาจากมุมมองทางศาสนาหรือปัจจัยอื่นๆ”
เดน่าเสริมว่า “ในช่วงปีที่ผ่านมา การยอมรับ LGBTQIA+ ในประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับประเทศไทย”
ประเด็นที่ต้องผลักดันต่อไปเพื่อชุมชน LGBTQIA+
แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว แต่ทั้งดร.พอลลี่และเดน่าเห็นพ้องกันว่ายังมีประเด็นสำคัญที่ต้องผลักดันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พ.ร.บ.รับรองอัตลักษณ์ทางเพศ”
ดร.พอลลี่ได้เล่าถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญเนื่องจากคำนำหน้าชื่อในเอกสารทางการไม่ตรงกับเพศสภาพ “ในฐานะนักวิชาการที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง การที่บัตรประชาชนของผมยังคงใช้คำนำหน้าว่า ‘นาย’ ทำให้เกิดปัญหามากมายในการเดินทาง บางครั้งถึงขั้นถูกกักตัวไม่ให้เข้าประเทศ แม้ว่าจะเดินทางในฐานะตัวแทนประเทศเพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการก็ตาม”
ดร.พอลลี่เน้นย้ำว่า ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ แต่เอกสารทางกฎหมายยังไม่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ส่งผลให้เกิดคำถามและการตัดสินตั้งแต่แรกพบ
สมรสเท่าเทียม: จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
จากการสนทนากับดร.พอลลี่และเดน่า เราได้เรียนรู้ว่า “สมรสเท่าเทียม” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไขและรับรอง เช่น การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อให้ตรงกับเพศสภาพ และการรับรองสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศเดียวกัน
แม้ว่าการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นก้าวสำคัญ แต่เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสังคมที่มองข้ามความแตกต่างทางเพศ และให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าการแบ่งแยกเป็น LGBTQIA+ เพศหญิง หรือเพศชาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่