เสียงชักอ่อย! ‘เซเลนสกี’ เชิญชวน ‘ปูติน’ ส่งตัวแทนร่วมเจรจาสันติภาพยูเครนรอบที่ 2

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ได้แสดงความเห็นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ว่า รัสเซียควรส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมสันติภาพครั้งต่อไป เพื่อร่วมกันแสวงหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี คำกล่าวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่สำคัญ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิเสธการเจรจาโดยตรงมาโดยตลอด นับตั้งแต่ความพยายามในการเจรจาครั้งแรกล้มเหลวในช่วงต้นของสงคราม

ความพยายามในการหาทางออก

การประชุมสันติภาพรอบแรกจัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหลายสิบประเทศทั่วโลกเข้าร่วม และประกาศสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรมสำหรับสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตาม รัสเซียไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้น

ท่าทีของเซเลนสกี

เซเลนสกี ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดนาโตที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้แถลงข่าวที่กรุงเคียฟว่า เขาพร้อมที่จะเปิดกว้างสำหรับการเจรจาโดยตรงกับเจ้าหน้าที่จากมอสโก โดยกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าผู้แทนของรัสเซียควรจะได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสันติภาพครั้งที่ 2” ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่สำคัญ

ความท้าทายและความหวัง

แม้ว่าเซเลนสกีจะยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันให้เปิดการเจรจากับรัสเซีย แต่เขาก็ยอมรับว่าการสนับสนุนจากภายนอกยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ยูเครนเป็นฝ่ายชนะสงคราม ผู้นำยูเครนยังคงวิงวอนขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ เช่น ระบบแพทริออต

มุมมองต่ออนาคตทางการเมืองสหรัฐฯ

ในประเด็นที่น่าสนใจ เซเลนสกีแสดงความมั่นใจว่าแม้โดนัลด์ ทรัมป์ อาจกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง เขาก็เชื่อว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้ โดยกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดี เราก็จะทำงานร่วมกันได้ ผมไม่กังวลเรื่องนี้เลย” แม้ว่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของทรัมป์ต่อรัสเซียก็ตาม

การเรียกร้องความช่วยเหลือด้านอาวุธ

เซเลนสกีย้ำถึงความสำคัญของระบบป้องกันภัยทางอากาศ โดยระบุว่าหากได้รับระบบแพทริออตหรือระบบที่มีศักยภาพใกล้เคียงกันประมาณ 25 หน่วย จะสามารถปกป้องดินแดนยูเครนได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เปิดเผยจำนวนระบบอาวุธดังกล่าวที่ประจำการอยู่ในยูเครนในปัจจุบัน

ท่าทีของเซเลนสกีในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแสวงหาทางออกทางการทูต พร้อมกับการเรียกร้องความช่วยเหลือทางทหารอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์และความท้าทายในการยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานาน