วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 “ลิลลี่ เหงียน” นางแบบและนักธุรกิจชื่อดัง ได้ออกมาแถลงข่าวเพื่อชี้แจงประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ หลังจากที่เธอได้กล่าวในรายการโทรทัศน์ว่าอดีตแฟนคนที่ 3 ของเธอเป็นนักการเมืองระดับประมุขของประเทศ ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าอาจหมายถึง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี
ลิลลี่ได้ชี้แจงว่าเธอเข้าใจความหมายของคำว่า “ประมุขของประเทศ” คลาดเคลื่อน โดยอธิบายว่าอดีตแฟนคนที่ 3 ของเธอนั้นเป็นอดีตประธานสภา ซึ่งเธอเคยได้ยินว่าตำแหน่งนี้ก็เปรียบเสมือนประมุขของประเทศในด้านนิติบัญญัติ เธอกล่าวขอโทษต่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และครอบครัว หากการเข้าใจผิดของเธอได้สร้างความเดือดร้อนใดๆ พร้อมทั้งยืนยันว่าเธอไม่เคยรู้จักทักษิณเป็นการส่วนตัว
นอกจากนี้ ลิลลี่ยังได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาจาก “เอิร์ก เลเดอเรอร์” อดีตแฟนหนุ่มที่ออกมาเปิดเผยว่ามีนางงามจากเวทีดังทักมาแฉว่าลิลลี่เป็นเมียน้อยและติดยา รวมถึงมีพฤติกรรมใช้ปืนขู่เวลาไม่พอใจใคร ลิลลี่ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยยืนยันว่าไม่เคยเป็นเมียน้อยของใคร และไม่เคยติดยาเสพติดร้ายแรง แม้จะยอมรับว่าเคยลองใช้กัญชากับอดีตสามี แต่ก็เลิกมานานแล้ว
ความสัมพันธ์กับอดีตประธานสภา: เปิดเผยความจริง
ลิลลี่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับอดีตประธานสภา โดยยืนยันว่าทั้งคู่คบหากันอย่างเปิดเผยและภาคภูมิใจ โดยไม่มีฝ่ายใดมีคู่สมรสในขณะนั้น เธอกล่าวว่าสาเหตุที่เลิกรากันเป็นเพราะเธอไม่สามารถปฏิบัติตามกฎของอดีตแฟนได้ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากอดีตแฟนต้องการสอนให้เธอทำงานและเรียนรู้ชีวิต แต่เธอไม่สามารถปรับตัวได้
ในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ปืนขู่ ลิลลี่ได้ชี้แจงว่าปืนที่มีในบ้านเป็นเพียงปืนของเล่นของลูกชายเท่านั้น และยืนยันว่าไม่เคยมีพฤติกรรมข่มขู่ผู้อื่นด้วยอาวุธแต่อย่างใด
ท้ายที่สุด ลิลลี่ได้ประกาศว่าเธอและทีมกฎหมายจะดำเนินคดีกับ “เอิร์ก เลเดอเรอร์” ในทุกข้อหาที่เขาได้กระทำ รวมถึงจะฟ้องเพิ่มในข้อหาหมิ่นประมาท โดยเน้นย้ำว่าเธอต้องการปกป้องชื่อเสียงของตนเองและลูก รวมถึงรักษาความเคารพต่ออดีตคนรักทั้ง 4 คน
ทางด้านทนายความของลิลลี่ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการติดตามตัว “เอิร์ก เลเดอเรอร์” ซึ่งหลบหนีไปต่างประเทศ หลังจากถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินจากลิลลี่และนักลงทุนรายอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยได้ประสานงานกับตำรวจสากลและได้ออกหมายจับสีแดงแล้ว พร้อมยืนยันว่าจะติดตามนำตัวกลับมาดำเนินคดีให้ได้