ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล: ผลกระทบและรายชื่อกรรมการบริหารที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้จารึกเหตุการณ์สำคัญอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง ให้ยุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด คำตัดสินนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคเป็นระยะเวลา 10 ปี

ผลของคำตัดสินนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้พรรคก้าวไกลต้องสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกเพิกถอนสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง

รายชื่อกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับผลกระทบ

คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญครอบคลุมกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลทั้งสองยุค ได้แก่:

1. ยุคแรก (พ.ศ. 2563 – 2566) ภายใต้การนำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์:
– พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (หัวหน้าพรรค)
– ชัยธวัช ตุลาธน (เลขาธิการพรรค)
– ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ (เหรัญญิกพรรค)
– ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล (นายทะเบียนสมาชิกพรรค)
– ปดิพัทธ์ สันติภาดา (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคเหนือ – ลาออกก่อนหน้านี้)
– สมชาย ฝั่งชลจิตร (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคใต้)
– อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคกลาง)
– อภิชาต ศิริสุนทร (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
– เบญจา แสงจันทร์ (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออก)
– สุเทพ อู่อ้น (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนปีกแรงงาน)

2. ยุคที่สอง (พ.ศ. 2566 – ปัจจุบัน) ภายใต้การนำของนายชัยธวัช ตุลาธน:
– ชัยธวัช ตุลาธน (หัวหน้าพรรค)
– อภิชาติ ศิริสุนทร (เลขาธิการพรรค)
– ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ (เหรัญญิกพรรค)
– ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล (นายทะเบียนสมาชิกพรรค)
– สมชาย ฝั่งชลจิตร (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคใต้)
– อภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคเหนือ)
– เบญจา แสงจันทร์ (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนภาคตะวันออก)
– สุเทพ อู่อ้น (กรรมการบริหารพรรค สัดส่วนปีกแรงงาน)

ผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย

การยุบพรรคก้าวไกลและการตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปีนี้ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสูญเสียตัวแทนทางการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมและระบบการเมืองไทยในภาพรวม

การตัดสินใจครั้งนี้ยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยอาจมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคก้าวไกล หรืออาจเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลและประชาชนทั่วไปจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยอย่างไรในอนาคต