คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไทยได้มีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลคาซัคสถานเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งเป็นการประกาศยกเว้นวีซ่าแบบถาวรให้กับนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
การยกเว้นวีซ่าครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เคยประกาศใช้เป็นการชั่วคราว โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ ครม. เคยมีมติให้วีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวคาซัคสถานไปแล้วสองรอบ แต่มีระยะเวลาจำกัด เช่น ให้เข้ามาได้ 30 วันในรอบ 180 วัน โดยสามารถเข้ามากี่ครั้งก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน 30 วันต่อครั้ง และรวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่พบปัญหาใดๆ และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น ครั้งนี้จึงเสนอให้เปิดวีซ่าฟรีเป็นการถาวร”
รายละเอียดสำคัญของความตกลง:
1. ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาที่มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือนจะได้รับการยกเว้นวีซ่า
2. สามารถพำนักในประเทศปลายทางได้ไม่เกิน 30 วันต่อครั้ง
3. ระยะเวลาพำนักรวมต้องไม่เกิน 90 วันในช่วง 180 วัน
4. หากต้องการพำนักเกิน 30 วัน จะต้องขอวีซ่าตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ:
การยกเว้นวีซ่าครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยในหลายด้าน ไม่เพียงแต่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน แต่ยังจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ความร่วมมือด้านการทูตและการลงนามข้อตกลง:
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคาซัคสถานมีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-24 เมษายน 2567 โดยทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะจัดพิธีลงนามความตกลงดังกล่าวในวันที่ 23 เมษายน 2567 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและคาซัคสถาน
ผลบังคับใช้และระยะเวลา:
ความตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และจะเริ่มมีผลภายใน 30 วันหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในเสร็จสมบูรณ์และแจ้งให้อีกฝ่ายทราบผ่านช่องทางการทูต
ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ:
การยกเว้นวีซ่าถาวรนี้ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังคาดว่าจะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การเมือง เศรษฐกิจ วิชาการ และวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว