บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการแกว่งตัวผันผวน อันเนื่องมาจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ทั้งนี้ GBS ได้ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยไว้ที่ 1,350-1,400 จุด พร้อมทั้งแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยและจีน
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของ GBS ได้ให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังคงมีความผันผวน โดยมีปัจจัยบวกจากต่างประเทศ คือ ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัวลง ซึ่งสะท้อนจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนในเดือนธันวาคม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ข้อมูลนี้ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศ นางสาววิลาสินีชี้ว่า มีแรงหนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อันเป็นผลมาจากมาตรการฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยและจีน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เตรียมผลักดันโครงการลงทุนภาครัฐเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการวินิจฉัยคดีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ในประเด็นการหาเสียงเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ว่าเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ซึ่งจะมีการตัดสินในวันที่ 31 มกราคม 2567
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายฟรีวีซ่าไทย-จีน
จากสถานการณ์ดังกล่าว GBS ได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายฟรีวีซ่าถาวรระหว่างไทยและจีน โดยได้ระบุ 7 หุ้นเด่นดังนี้:
1. AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) – คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการท่าอากาศยาน
2. AAV (บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน)) – อาจได้รับผลดีจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการเดินทางทางอากาศ
3. MINT (บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)) – ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารอาจได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว
4. CENTEL (บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)) – ธุรกิจโรงแรมน่าจะได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
5. ERW (บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) – กลุ่มธุรกิจโรงแรมอาจได้รับผลบวกจากนโยบายนี้
6. SPA (บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) – ธุรกิจสปาและเวลเนสอาจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจีน
7. SKY (บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)) – อาจได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ GBS ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำ โดยนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ประเมินว่าราคาทองคำในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 2,000-2,040 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน
ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ และการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งของไทยและต่างประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว