สหภาพยุโรป (อียู) ได้ตัดสินใจระงับความตกลงด้านการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่า กับรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งเป็นมาตรการที่จะส่งผลให้พลเมืองรัสเซียประสบความยากลำบากมากขึ้นในการเดินทางเข้าสู่ประเทศสมาชิกอียู การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอียู ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
นายโจเซฟ บอร์เรลล์ หัวหน้านโยบายต่างประเทศของอียู ได้ชี้แจงเหตุผลสำคัญในการดำเนินมาตรการนี้ โดยระบุว่าเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของพลเมืองรัสเซียที่เดินทางข้ามแดนเข้าสู่อียู ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคงให้กับประเทศสมาชิกอียูที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย นอกจากนี้ ยังมีการสังเกตเห็นว่าชาวรัสเซียจำนวนมากยังคงเดินทางมาพักผ่อนหรือจับจ่ายใช้สอยในประเทศสมาชิกอียู ราวกับว่าไม่มีสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายบอร์เรลล์ยืนยันว่าอียูไม่สนับสนุนการแบนวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อประชาชนชาวรัสเซียที่ต่อต้านสงครามในยูเครน รวมถึงภาคประชาสังคมในรัสเซีย ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอียูที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียยังคงมีอำนาจในการจำกัดการเข้าประเทศของพลเมืองรัสเซีย แม้ว่าพวกเขาจะถือวีซ่าที่ถูกต้องก็ตาม
ผลกระทบของมาตรการใหม่ต่อการเดินทางของชาวรัสเซีย
มาตรการระงับข้อตกลงวีซ่านี้จะส่งผลให้กระบวนการขอวีซ่าสำหรับชาวรัสเซียที่ต้องการเดินทางไปยังประเทศสมาชิกอียูมีความยุ่งยากมากขึ้น โดยจะต้องใช้เวลานานขึ้นและมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการประนีประนอมระหว่างประเทศสมาชิกอียู เนื่องจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการห้ามการออกวีซ่าให้กับชาวรัสเซียทั้งหมดได้
ก่อนหน้านี้ กลุ่มประเทศสมาชิกอียูที่มีพรมแดนติดกับรัสเซีย ได้แก่ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงและได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการแบนหรือจำกัดวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นการชั่วคราว ในขณะที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีได้ออกแถลงการณ์ร่วมเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการดังกล่าว
ปฏิกิริยารัจากสเซียและยูเครน
การตัดสินใจของอียูได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งรัสเซียและยูเครน นายอเล็กซานเดอร์ กลุชโก รัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ได้เปรียบเทียบมาตรการนี้ว่าเป็นเสมือนการ “ยิงปืนใส่เท้าตนเอง” ของอียู ในขณะที่นายดมิโตร คูเลบา รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศยูเครน ได้วิจารณ์ว่าเป็นมาตรการที่ไม่เด็ดขาดเพียงพอ โดยเรียกว่าเป็น “แนวทางแบบครึ่งๆ กลางๆ”
นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีชาวรัสเซียมากกว่า 1 ล้านคนที่เดินทางเข้าสู่ประเทศในอียู คาดว่าหลังจากการตัดสินใจครั้งนี้ ประเทศในยุโรปตะวันออกที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียอาจจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศของชาวรัสเซียในอนาคตอันใกล้
มาตรการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอียูในการสร้างสมดุลระหว่างการตอบโต้ต่อการกระทำของรัสเซียในยูเครน และการรักษาความสัมพันธ์กับประชาชนชาวรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ต่อต้านสงคราม อย่างไรก็ตาม ผลกระทบระยะยาวของนโยบายนี้ต่อความสัมพันธ์ระหว่างอียูและรัสเซีย รวมถึงสถานการณ์ในยูเครน ยังคงต้องติดตามต่อไป