รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายกองเอก อดุลย์ ชูทอง ได้ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกรณีที่ชาวต่างชาติก่อเหตุทำร้ายแพทย์หญิงในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนในขณะนี้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการพิจารณาเพิกถอนวีซ่าของผู้ก่อเหตุ
จากการตรวจสอบพบว่า ชาวต่างชาติรายนี้ถือวีซ่าประเภทผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งมีอายุ 1 ปี และกำลังจะครบกำหนดในวันที่ 13 มีนาคม 2567 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้ผู้ก่อเหตุมีคดีความอยู่ในกระบวนการยุติธรรม การพิจารณาต่อวีซ่าจึงต้องดำเนินการตามแนวทางพิเศษ
รองผู้ว่าฯ ภูเก็ตได้อธิบายถึงแนวทางการพิจารณาดังนี้:
1. หากคดีสิ้นสุดก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2567 จะมีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเพิกถอนวีซ่าชาวต่างชาติที่กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ต่อวีซ่าและการผลักดันกลับประเทศ
2. ในกรณีที่คดียังไม่สิ้นสุดภายในวันที่ 13 มีนาคม 2567 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จะต้องต่อวีซ่าให้ผู้ก่อเหตุในฐานะผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี จนกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะเสร็จสิ้น
นายกองเอก อดุลย์ ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเพิกถอนหรือยกเลิกวีซ่าแต่อย่างใด แม้จะมีกระแสข่าวว่าผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้สั่งการในเรื่องนี้แล้วก็ตาม ทั้งนี้ ต้องรอให้คดีดำเนินการจนเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีการพิจารณาเรื่องวีซ่าอีกครั้ง
ผลกระทบต่อชุมชนและมาตรการป้องกัน
นอกจากประเด็นเรื่องวีซ่าแล้ว รองผู้ว่าฯ ภูเก็ตยังได้กล่าวถึงผลกระทบของเหตุการณ์นี้ต่อชุมชนในพื้นที่ โดยระบุว่าพฤติกรรมของชาวต่างชาติรายนี้ได้สร้างความเดือดร้อนและความหวาดกลัวให้กับประชาชน ทางจังหวัดจึงกำลังพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบประวัติของชาวต่างชาติที่ขอวีซ่าประเภทธุรกิจ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่พำนักในพื้นที่
ท้ายที่สุด รองผู้ว่าฯ ภูเก็ตย้ำว่า ทางจังหวัดจะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายและรักษาภาพลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ตในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว