“บิ๊กโจ๊ก” สนองนโยบายนายกฯ เร่งปรับมาตรการท่องเที่ยวและปราบปรามอาชญากรรม

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในนาม “บิ๊กโจ๊ก” ได้เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากการเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมีประเด็นสำคัญที่ได้รับมอบหมายให้เร่งดำเนินการ 2 เรื่องหลัก คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีน และการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมและผู้มีอิทธิพล

ในด้านการท่องเที่ยว พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กล่าวว่า “นโยบายฟรีวีซ่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศ เพราะจะช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ผมได้เห็นมาตลอดในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสการเกิดคอร์รัปชันได้อีกด้วย” อย่างไรก็ตาม ท่านยังเน้นย้ำว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเพิ่มความเข้มงวดในด้านความปลอดภัยและความมั่นคง โดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่มีอยู่เพื่อคัดกรองบุคคลที่อาจเป็นภัยต่อประเทศ

ในส่วนของการปราบปรามอาชญากรรม นายกรัฐมนตรีได้แสดงความกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับปัญหามาเฟียและผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี “คดีกำนันนก” ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ยืนยันว่าจะเข้าไปกำกับดูแลการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเพื่อให้แน่ใจว่าตำรวจจะไม่เป็น “ไม้ค้ำยัน” ให้กับผู้มีอิทธิพลเหล่านี้

 ความคืบหน้าในการสืบสวนคดีกำนันนก

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ได้เปิดเผยความคืบหน้าในการสืบสวนคดีกำนันนก โดยระบุว่าขณะนี้ทีมสืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานส่วนใหญ่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและเส้นทางการเงินของผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ ยังมีการกู้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกนำไปทิ้งน้ำ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีก 3-4 วันในการกู้ข้อมูลทั้งหมด

ท่านยังเปิดเผยว่า ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ส่วนใหญ่สังกัดตำรวจภาค 7 และกองบัญชาการสอบสวนกลาง โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะการกระทำ ได้แก่ กลุ่มที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยหลบหนีเมื่อเกิดเหตุ กลุ่มที่ร่วมทำลายพยานหลักฐานและช่วยผู้ต้องหาหลบหนี และกลุ่มที่นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละกลุ่มจะได้รับการพิจารณาโทษตามความเหมาะสม

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ย้ำว่า “คดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเรามีพยานหลักฐานครบถ้วน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการสรุปสำนวนการสอบสวน” ท่านยังเน้นย้ำว่าประเด็นหลักของคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์หรือ “ส่วย” แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องการขอตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง จนนำไปสู่การสั่งลงมือ แม้ว่าผู้ต้องหาจะยังคงให้การปฏิเสธ แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มีอยู่ ทางเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินการอย่างจริงจังในคดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมและผู้มีอิทธิพล ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ