สื่อออนไลน์สร้างความสับสน: ข่าวลือเรื่องวีซ่านักท่องเที่ยวจีนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทย

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการเผยแพร่ข่าวลือที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ

ล่าสุด มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอบนเว็บไซต์ YouTube โดยผู้ใช้ชื่อ johny shoot2china ภายใต้หัวข้อ “เหตุผลที่ลดวีซ่านักท่องเที่ยวจีน…ฟังแล้วช็อก” ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าทางการไทยจะลดการอนุมัติวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากโรงงานผลิตกระดาษทำวีซ่าไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ ข่าวลือดังกล่าวยังอ้างว่าเป็นความพยายามที่จะผลักดันให้นักท่องเที่ยวชาวจีนหันไปขอ visa on arrival เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยกล่าวอ้างว่าวิธีนี้จะทำให้ทางการไทยและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมรายละ 200-300 บาท

ความจริงเบื้องหลังข่าวลือ

ในการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดเผยว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องเก่าที่มีการปล่อยข่าวเท็จเกี่ยวกับการขาดแคลนสติกเกอร์วีซ่า โดยยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2560 แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการออกวีซ่าแต่อย่างใด สถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ยังคงอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าให้กับผู้มายื่นขอตามปกติ พร้อมทั้งได้ชี้แจงข้อมูลให้ผู้มายื่นขอวีซ่ารับทราบอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ทางการไทยยังได้ดำเนินการตามกฎหมายร่วมกับทางการจีนเพื่อจัดการกับบริษัททัวร์ที่มีส่วนในการเผยแพร่ข่าวเท็จดังกล่าว โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า ปัจจุบันสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยในประเทศจีนไม่มีปัญหาในการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนแต่อย่างใด

การดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เผยแพร่ข่าวเท็จ

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมผู้เผยแพร่วิดีโอคลิปที่มีเนื้อหาอันเป็นเท็จ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 14 (5) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 โดยผู้ต้องหาประกอบด้วย นายณัฎฐาวุฒิ รวยประเสริฐ อายุ 54 ปี เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Nath Rps และนางณัสวรรณ เกียรติ์วิมล อายุ 41 ปี เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Tuknapat Kaitvimol ซึ่งได้เผยแพร่ข่าวเท็จในวันที่ 11 และ 13 ตุลาคม ตามลำดับ

การจับกุมครั้งนี้ดำเนินการโดยทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) นำโดย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการผู้บัญชาการ สตม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งสัญญาณชัดเจนว่าการเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศจะไม่ได้รับการยอมรับและจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคน ให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการแชร์หรือเผยแพร่ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ใช้สื่อออนไลน์ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะแชร์หรือเผยแพร่ เพื่อป้องกันการสร้างความสับสนและความเสียหายต่อสังคมโดยรวม

การกระทำของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการรักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ และปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศไทย

ท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการรับและส่งต่อข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมออนไลน์ที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม