คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการแก้ไขกฎกระทรวงเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณยาเสพติดที่ถือว่าครอบครองเพื่อเสพ โดยปรับลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่กำหนดไว้ 5 เม็ดสำหรับยาบ้า และ 500 มิลลิกรัมสำหรับยาไอซ์ เหลือเพียง 1 เม็ดสำหรับยาบ้า และ 100 มิลลิกรัมสำหรับยาไอซ์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบันและเพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตามนโยบาย “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” ซึ่งมุ่งเน้นการให้โอกาสผู้เสพในการเข้ารับการบำบัดรักษา แทนที่จะถูกดำเนินคดีในฐานะผู้กระทำผิดทางอาญา การปรับเปลี่ยนนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาล และผู้เกี่ยวข้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้นในการจำแนกระหว่างผู้ค้าและผู้เสพ
รายละเอียดการแก้ไขกฎกระทรวง
ตามกฎกระทรวงฉบับใหม่ การครอบครองยาเสพติดในปริมาณดังต่อไปนี้จะถูกสันนิษฐานว่าเป็นการครอบครองเพื่อเสพ:
- แอมเฟตามีน (ยาบ้า): ไม่เกิน 1 เม็ด หรือน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม
- เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์): ไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม
การปรับเปลี่ยนนี้มีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้ค้ารายย่อยและตัดวงจรการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยการลดปริมาณที่ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อเสพ
ผลกระทบและการพิจารณาเพิ่มเติม
แม้ว่าการแก้ไขกฎกระทรวงนี้จะช่วยให้การจำแนกระหว่างผู้ค้าและผู้เสพชัดเจนขึ้น แต่ยังคงมีความจำเป็นในการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติด หรือระดับความรุนแรงของการเสพยาเสพติดของแต่ละบุคคล การพิจารณาเหล่านี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมมากขึ้น
นอกจากนี้ การลดปริมาณที่ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อเสพยังอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าและการใช้ยาเสพติด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ครม.หวังว่าการแก้ไขกฎกระทรวงครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ โดยมุ่งเน้นการบำบัดรักษาผู้เสพมากกว่าการลงโทษ ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้มงวดในการจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างยั่งยืน