เว็บไซต์ CTWANT รายงานเรื่องราวสุดฮือฮาของช่างทำผมชาวไต้หวันวัย 40 ปี ที่ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (ประมาณ 788,000 บาท) เพื่อแต่งงานกับสาวสวยชาวเวียดนามวัยเพียง 18 ปี การเปิดเผยสาเหตุที่เลือกหญิงสาวต่างวัยและต่างสัญชาติมาเป็น “แม่ของลูก” ได้จุดชนวนให้เกิดกระแสถกเถียงอย่างดุเดือดในโลกออนไลน์
ช่างผมหนุ่มได้โพสต์แบ่งปันเรื่องราวการแต่งงานของเขาในกระทู้ออนไลน์ โดยเขาเปิดเผยว่า “พ่อตา แม่ยาย อายุห่างกับผมเพียง 2 ปีเท่านั้น โอ้พระเจ้า! ไม่เคยคิดฝันว่าสักวันผมจะแต่งงาน แต่ตอนนี้ผมก็แต่งงานแล้ว มาทำงานหนักกัน หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีในอนาคต” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นผ่านบริการของตัวแทนหาคู่ โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 700,000 ดอลลาร์ไต้หวันใหม่ ซึ่งรวมถึงค่าสินสอด 60,000 ดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (ประมาณ 67,500 บาท) ที่มอบให้กับแม่ของเจ้าสาว ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงาน ค่าเอกสาร และค่าเรียนภาษาจีนสำหรับภรรยาของเขา
เหตุผลที่เลือกเจ้าสาวชาวเวียดนาม
ช่างผมหนุ่มเปิดใจถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจมองหาเจ้าสาวในเวียดนาม ทั้งที่ตัวเขาเองมีหน้าตาดีและมีรายได้มั่นคง เขาอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า สาวชาวไต้หวันส่วนใหญ่ไม่ต้องการตั้งครรภ์หากยังออกเดทกันไม่นานพอ เนื่องจากการมีลูกไม่เพียงส่งผลกระทบต่อรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพวกเธอด้วย ในขณะที่เขาเองก็ถูกกดดันให้มีทายาท ดังนั้น โอกาสที่จะได้แต่งงานกับสาวไต้หวันและมีลูกในเวลาอันรวดเร็วจึง “เกือบเป็นศูนย์” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปนัดบอดที่ประเทศเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากชาวเน็ต โดยมีความคิดเห็นในเชิงลบมากมาย เช่น “การซื้อผู้หญิงเพื่อคลอดบุตรทำให้ฉันอยากอาเจียนจริงๆ”, “มันคือการจ่าย 700,000 เพื่อซื้อเครื่องมือการเจริญพันธุ์”, “700,000 สำหรับการแต่งงาน เป็นการค้ามนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นก็บอกฉันหน่อยว่าคุณซื้ออะไรมา มันคือทาสกาม และคนรับใช้”, “มีบัลลังก์ในครอบครัวของคุณไหมที่คุณอยากจะสืบทอด”, “นี่ไม่ใช่การแต่งงาน นี่คือการค้ามนุษย์”
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรง ช่างผมหนุ่มได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมในช่องแสดงความคิดเห็น โดยยืนยันว่าไม่มีการซื้อขายใดๆ เกิดขึ้น เขาขอร้องไม่ให้ผู้คนเหมารวมเพียงเพราะมาตรฐานเศรษฐกิจและการครองชีพในเวียดนามอาจไม่สูงเท่าไต้หวัน เขาอธิบายว่าครอบครัวของภรรยาเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี และไม่ได้ยากจนอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงภรรยาของเขาด้วยความภาคภูมิใจ โดยมองว่าเธอไม่ได้อ่อนแอกว่าเขา แต่กลับเป็นคนที่มีอนาคตสดใสและเต็มไปด้วยศักยภาพ
เรื่องราวนี้ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงทางสังคมที่ร้อนแรง สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม ค่านิยม และมุมมองเกี่ยวกับการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน ขณะที่บางคนมองว่าเป็นเรื่องของความรักและการตัดสินใจส่วนบุคคล แต่อีกหลายคนก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรมและการเอาเปรียบทางสังคม ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสที่มีความแตกต่างทางอายุและวัฒนธรรมอย่างมาก