ในวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2567 บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณตึกภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อญาติและผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ หรือที่รู้จักกันในนาม “รองหรั่ง” รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เดินทางมารับศพของวีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่
เหตุการณ์อันน่าสลดใจเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เมื่อ “รองหรั่ง” ถูกยิงเสียชีวิตขณะพยายามเข้าระงับเหตุจับตัวประกัน โดยผู้ก่อเหตุคือนายบุญมา วณิชพงศ์ธร หรือ “เฮียตุ้ง” ซึ่งได้จับลูกสาววัย 15 ปีของตนเองเป็นตัวประกัน ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปเจรจา
ในวันนี้ พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงและครอบครัวของ “รองหรั่ง” ได้เดินทางมารับศพ โดยมีการจัดขบวนรถยนต์จาก 10 สถานีตำรวจในสังกัด บก.น.9 เพื่อนำร่างของวีรบุรุษไปยังวัดยางสุทธาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ
ความทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ของ “รองหรั่ง”
พ.ต.ท.หญิง จิราวรรณ ธัญญะเจริญ พี่สาวของผู้เสียชีวิต ได้เปิดเผยถึงความทุ่มเทในการทำงานของน้องชาย โดยกล่าวว่า “น้องชายของดิฉันเป็นคนที่ทำงานตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่มาเฝ้าแม่ที่ป่วยติดเตียง เขาก็ยังต้องเปิดวิทยุฟังเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ตลอด เขาไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยหรือต้องการพัก แต่กลับทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่”
นอกจากนี้ พ.ต.ท.หญิง จิราวรรณ ยังเล่าถึงความภาคภูมิใจในตัวน้องชาย โดยกล่าวว่า “น้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้เต็มภาคภูมิแล้ว ถึงจะไปเกิดชาติภพไหนจะไม่อายใครในอาชีพที่ผ่านมา”
การให้อภัยท่ามกลางความสูญเสีย
แม้จะสูญเสียน้องชายอันเป็นที่รัก แต่ครอบครัวของ “รองหรั่ง” ก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นต่อผู้ก่อเหตุ พ.ต.ท.หญิง จิราวรรณ กล่าวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่มีใครผิดหรือถูก เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ได้คาดคิด ลูกของผู้ก่อเหตุก็ไม่ได้มีความผิดอะไร ตำรวจที่เสียชีวิตก็ไม่ได้มีความผิดเช่นเดียวกัน เป็นเหมือนโชคชะตา”
ท้ายที่สุด การสูญเสียครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวของ “รองหรั่ง” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวของผู้ก่อเหตุด้วย โดยมีรายงานว่าญาติของนายบุญมา วณิชพงศ์ธร หรือ “เฮียตุ้ง” ไม่ประสงค์ให้ข่าวเกี่ยวกับการรับศพ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นข่าว
เหตุการณ์อันน่าเศร้านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสียสละของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และเป็นบทเรียนสำคัญในการจัดการกับสถานการณ์วิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต