ในวันที่ 16 มีนาคม 2565 เหตุการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการกระบวนการยุติธรรมไทยได้เกิดขึ้น เมื่อนางพัชรี ปั้นทอง มารดาของ น.ส.พลอยนรินทร์ ปั้นทอง หรือที่รู้จักกันในนาม “น้องพลอย” ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อุ้มฆ่าเผา ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการพิจารณาพักโทษให้แก่ ส.อ. พลกฤต วิเศษ ผู้ก่อเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญ โดยได้รับการสนับสนุนจากนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุก ส.อ. พลกฤต เป็นระยะเวลา 33 ปี 11 เดือน พร้อมกับสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่าผู้ต้องหาอาจได้รับการพักโทษและพ้นโทษในปีนี้ ทั้งที่เพิ่งถูกจำคุกเพียง 4 ปี 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของผู้เสียหายและสังคมโดยรวม
นายอัจฉริยะได้เปิดเผยถึงความผิดปกติในกระบวนการพิจารณาพักโทษ โดยระบุว่า “การที่นักโทษได้รับการปล่อยตัวด้วยการพักโทษเร็วเกินไป น่าจะมีความผิดปกติของระเบียบและกระบวนการพิจารณา” พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเกณฑ์การพักโทษว่ามีการให้อภิสิทธิ์พิเศษหรือไม่
ความไม่โปร่งใสในระบบราชทัณฑ์
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับสถานะพิเศษของ ส.อ. พลกฤต ภายในเรือนจำ โดยกล่าวว่า “ผู้ต้องขังเข้าไปแล้วได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้คุมเรือนจำกลางบางขวาง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติสำหรับผู้ต้องขังในคดีร้ายแรง และยิ่งไปกว่านั้น ส.อ. พลกฤต เพิ่งได้รับสถานะเป็นนักโทษเด็ดขาดเมื่อปี 2563 เท่านั้น
ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องร้องเรียนและให้คำมั่นว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกระบวนการพิจารณาพักโทษอย่างละเอียด พร้อมทั้งเปิดเผยว่าการที่ผู้ต้องหายังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับครอบครัวผู้เสียหายนั้น ถือเป็นการไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในการพิจารณาขอพักโทษ
นางพัชรี มารดาของน้องพลอย ได้แสดงความรู้สึกหลังจากยื่นเรื่องร้องเรียนว่า “วันนี้ตัดสินใจมาพึ่งกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้ตรวจสอบถึงเรื่องราวและกระแสข่าวที่ตนได้ยินมา ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังการชี้แจงก็รู้สึกสบายใจและไม่ผิดหวังที่ตัดสินใจเข้ามาร้องเรียน”
เหตุการณ์นี้ได้จุดประเด็นคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมในระบบราชทัณฑ์ไทย และความเหมาะสมของการให้อภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดในคดีร้ายแรง สังคมจับตามองว่าการตรวจสอบครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระบบยุติธรรมหรือไม่ และครอบครัวของผู้เสียหายจะได้รับความเป็นธรรมในที่สุดหรือไม่