ในวงการการเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสำคัญมักมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หนึ่งในความสัมพันธ์ที่น่าสนใจและมีผลกระทบต่อการเมืองไทยอย่างมากคือความสัมพันธ์ระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีประวัติความเกี่ยวข้องกันมายาวนานตั้งแต่ยุคก่อตั้งอาณาจักรธุรกิจโทรคมนาคมของตระกูลชินวัตร จนถึงยุคที่ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้ย้อนกลับไปในช่วงที่ครอบครัวชินวัตรยังไม่มีอาณาจักรธุรกิจโทรคมนาคมที่ยิ่งใหญ่ ร.ต.อ.เฉลิมในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล อสมท. ได้มีส่วนสำคัญในการอนุมัติสัมปทานโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกให้กับบริษัทไอบีซีของครอบครัวชินวัตร ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่นำไปสู่ธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียมในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิมยังเป็นคีย์แมนสำคัญในการผลักดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ภรรยานายทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างราบรื่นเป็นเวลานาน โดย ร.ต.อ.เฉลิมมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย ทั้งในยามที่พรรคเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้งเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อ นายวัน อยู่บำรุง บุตรชายของ ร.ต.อ.เฉลิม ถูกตำหนิจากแกนนำพรรคเพื่อไทยหลังจากไปให้กำลังใจคู่แข่งทางการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่น
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การลาออกจากพรรคเพื่อไทยของนายวัน และการแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งถึงขั้นเรียกร้องให้พรรคขับตนเองออก พร้อมกับเปิดเผยถึงบุญคุณที่มีต่อนายทักษิณในอดีต โดยกล่าวว่า “ผมเคยสร้างมนุษย์บางคนจากที่ไม่มีอะไร จนร่ำรวย ผมไม่อยากบอกชื่อ แต่ทุกคนคงรู้…”
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อนายวันตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานพรรค ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างตระกูลอยู่บำรุงกับพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับนายทักษิณด้วย
ความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจลบ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากกลุ่มไลน์ของ ส.ส.พรรค โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกบั่นทอนในหมู่สมาชิกพรรค
บทวิเคราะห์: ผลกระทบต่อการเมืองไทยในอนาคต
ความขัดแย้งระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม และตระกูลชินวัตร รวมถึงพรรคเพื่อไทย อาจส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยในหลายมิติ:
- การเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในพรรคเพื่อไทย: การสูญเสียบุคคลสำคัญอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม และนายวัน อาจทำให้พรรคต้องปรับยุทธศาสตร์และโครงสร้างภายใน
- การเสริมความแข็งแกร่งให้พรรคพลังประชารัฐ: การได้รับนายวันเข้าพรรค อาจช่วยเพิ่มฐานเสียงและอิทธิพลของพรรคในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
- ความเปลี่ยนแปลงในการเมืองท้องถิ่น: อิทธิพลของตระกูลอยู่บำรุงในพื้นที่ฝั่งธนบุรีอาจเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น
- การเปิดเผยข้อมูลในอดีต: การที่ ร.ต.อ.เฉลิม แสดงความพร้อมที่จะ “ดีเบต” กับนายทักษิณ อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลสำคัญทางการเมืองและธุรกิจในอดีต
- ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนักการเมือง: ความขัดแย้งนี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองและพรรคการเมือง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์อาจไม่ได้รุนแรงถึงขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” เหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากในอดีตก็เคยมีความขัดแย้งที่จบลงด้วยการ “ตบจูบ” มาแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทุกฝ่ายและพัฒนาการทางการเมืองในอนาคต
ท้ายที่สุด ความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม และนายทักษิณ จาก “ไอบีซี” สู่ “พรรคเพื่อไทย” ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการการเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในโลกการเมือง ที่มักมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และผลประโยชน์ ซึ่งจะยังคงเป็นประเด็นที่น่าติดตามต่อไปในอนาคต