สหรัฐอเมริกาแสดงความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ทางการสหรัฐฯ ได้แสดงความหวังว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งนี้จะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและสันติ
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง ซึ่งส่งผลให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยทันที นอกจากนี้ คำตัดสินดังกล่าวยังส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน สร้างความกังวลว่าอาจเกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงในพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาล
ท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อสถานการณ์ในประเทศไทย
นายเวแดนท์ พาเทล รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย นายพาเทลกล่าวว่า “เรารับทราบเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีมติให้นายกรัฐมนตรีไทยและคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งหมดในวันนี้ เรารอคอยและตั้งตารอ ไม่เพียงแต่การเลือกนายกฯ ใหม่ แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างราบรื่น”
นอกจากนี้ นายพาเทลยังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐฯ และไทย โดยกล่าวว่า “เรายังยึดมั่นในความเป็นพันธมิตรระหว่างไทยและสหรัฐฯ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เรามีประวัติศาสตร์ร่วมกัน มีผลประโยชน์และค่านิยมร่วมกัน” อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกล่าวว่า “เราจะรอให้กระบวนการนี้สำเร็จลุล่วง และผมไม่อยากออกความเห็นไปก่อน”
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย
การพ้นจากตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย โดยเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ในรอบ 16 ปีที่ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของระบบตุลาการไทยในการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศ
ขณะนี้ ทั้งประชาชนไทยและประชาคมนานาชาติต่างจับตามองว่า กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะดำเนินไปอย่างไร และใครจะเป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทย ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรนานาชาติอื่นๆ ต่างหวังว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสันติและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้กับประเทศไทยในระยะยาว