“จีน” นำร่องระบบวีซ่าออนไลน์ของไทย คาดอีก 3 ปีให้บริการครอบคลุมทั่วโลก

กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ประกาศความคืบหน้าในการพัฒนาระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย หรือ Thai e-Visa ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศไทยทุกประเภทผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยรายละเอียดว่า ระบบ Thai e-Visa จะเริ่มให้บริการครั้งแรกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 โดยผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงระบบได้ผ่านเว็บไซต์ www.thaievisa.go.th ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยและใช้งานง่าย หลังจากนั้น จะมีการขยายบริการไปยังสถานกงสุลใหญ่ในเมืองอื่น ๆ ของจีนในวันที่ 1 มีนาคม 2562 ตามด้วยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสในวันที่ 1 เมษายน 2562

ทั้งนี้ กรมการกงสุลมีเป้าหมายที่จะขยายบริการ Thai e-Visa ให้ครอบคลุมทุกประเทศที่มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะช่วยยกระดับการให้บริการด้านการตรวจลงตราของประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล

จุดเด่นของระบบ Thai e-Visa

นายชาตรีได้อธิบายถึงจุดเด่นสำคัญของระบบ Thai e-Visa ดังนี้:

1. ความสะดวกรวดเร็ว: ผู้ขอวีซ่าสามารถเริ่มกระบวนการได้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่การกรอกแบบฟอร์มไปจนถึงการยื่นเอกสารประกอบ
2. การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์: ระบบรองรับการชำระค่าธรรมเนียมผ่าน E-Payment ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารกสิกรไทย
3. ระบบนัดหมายอัตโนมัติ: ผู้ขอวีซ่าสามารถเลือกวันและเวลาที่สะดวกเพื่อเดินทางไปยื่นหนังสือเดินทางที่สถานทูตหรือสถานกงสุลได้

ความร่วมมือกับภาคเอกชน

ในการพัฒนาระบบ Thai e-Visa กรมการกงสุลได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาระบบการรับชำระค่าธรรมเนียม นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ระบบชำระเงินสำหรับ Thai e-Visa ได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก สามารถรองรับการทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ถึง 126 สกุลเงินทั่วโลก

นอกจากนี้ ระบบยังรองรับหลากหลายช่องทางการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต คิวอาร์โค้ด หรืออินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขอวีซ่าจากทั่วทุกมุมโลก

การพัฒนาระบบ Thai e-Visa นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการให้บริการด้านการตรวจลงตราของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก