ไทยยกเว้นวีซ่าให้ชาวยูเครน เปิดโอกาสใหม่ด้านการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ในช่วงปลายปี 2561 รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการสำคัญที่จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและยูเครน โดยอนุมัติให้นักท่องเที่ยวชาวยูเครนสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการยกเว้นวีซ่าให้กับ 7 ประเทศ รวมถึงยูเครน มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ ชาวยูเครนที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการขอวีซ่า โดยต้องเดินทางไปยังสถานทูตไทยในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ซึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองกับยูเครน ส่งผลให้การเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของชาวยูเครนมีจำนวนน้อย แม้ว่าหลายคนจะมีความสนใจในวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวของไทยก็ตาม

การยกเว้นวีซ่านี้จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวยูเครนสามารถพำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการขอวีซ่าที่ยุ่งยาก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 โอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทยและยูเครน

นอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้ว การยกเว้นวีซ่านี้ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ยูเครนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นที่มากกว่า 600,000 ตารางกิโลเมตร และมีพรมแดนติดกับหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและตะวันตก ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการขยายตลาดสินค้าและบริการของไทยไปยังภูมิภาคยุโรป

เพื่อส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าว จะมีการจัดสัมมนาแนะนำประเทศยูเครนในด้านต่างๆ ทั้งการศึกษา การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ที่โรงแรมอัล มีรอซ กรุงเทพฯ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งสองประเทศ รวมถึงเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย กงสุลกิตติมศักดิ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การสัมมนานี้จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับยุโรปตะวันออกและการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของยูเครนที่เชื่อมโยงกับหลายประเทศในยุโรป ซึ่งจะเป็นประตูสู่ตลาดที่กว้างขวางขึ้นสำหรับสินค้าและบริการของไทย

ด้วยมาตรการยกเว้นวีซ่านี้ คาดว่าจะเกิดการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและยูเครนในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน และวัฒนธรรม ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในระยะยาว