จีนเปิดประตูต้อนรับคนเชื้อสายจีนทั่วโลก หวังกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

รัฐบาลจีนประกาศนโยบายใหม่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 อนุญาตให้คนเชื้อสายจีนทั่วโลกสามารถขอวีซ่าระยะยาว 3-5 ปี เพื่อเข้าประเทศจีนได้โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมญาติ ทำธุรกิจ หรือศึกษาต่อ เป็นต้น นโยบายนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศจีนในอนาคตอันใกล้

นโยบายดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับกฎหมายของเวียดนามในปี 2547 ที่อนุญาตให้ชาวเวียดนามโพ้นทะเลสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างมหาศาล และยกระดับเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ขนาดและศักยภาพของชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลนั้นใหญ่กว่ามาก จึงคาดว่าผลกระทบต่อจีนจะยิ่งมหาศาลกว่าที่เกิดขึ้นในเวียดนามหลายเท่า

ผู้มีสิทธิ์ขอวีซ่าประเภทนี้ ได้แก่ ชาวจีนที่เกิดในประเทศจีนแต่ภายหลังได้สัญชาติอื่น ทายาทของคนจีน หรือผู้ที่เคยถือสัญชาติจีนมาก่อน โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นทายาทรุ่นใด เพียงแต่ต้องมีหลักฐานยืนยันความเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษชาวจีน

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

นโยบายนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศจีน ดังนี้:

1. การไหลเข้าของเงินทุน: คาดว่าจะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ประเทศจีนจากชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก

2. การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม: ชาวจีนโพ้นทะเลจะนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากทั่วโลกเข้ามาสู่ประเทศจีน

3. การเพิ่มทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง: จีนจะได้รับประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากทั่วโลก โดยที่ไม่ต้องลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้เอง

4. การกระตุ้นเศรษฐกิจ: การเพิ่มขึ้นของการลงทุนและการบริโภคจากชาวจีนโพ้นทะเลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนอย่างมีนัยสำคัญ

ความท้าทายและโอกาส

แม้ว่านโยบายนี้จะสร้างโอกาสมหาศาลให้กับประเทศจีน แต่ก็อาจนำมาซึ่งความท้าทายบางประการ เช่น การจัดการกับการเพิ่มขึ้นของประชากร การรักษาสมดุลทางวัฒนธรรม และการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม หากจีนสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันให้จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลกได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

นโยบายนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัฐบาลจีนในการดึงดูดทรัพยากรจากทั่วโลกมาพัฒนาประเทศ โดยอาศัยความผูกพันทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติเป็นตัวเชื่อมโยง ซึ่งอาจเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่นๆ ในการพิจารณานโยบายที่คล้ายคลึงกันเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศของตน