รัฐบาลไทยขยายโครงการ “วีซาฟรี” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบการขยายโครงการ “วีซาฟรี” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเพิ่มจำนวนประเทศและดินแดนที่ได้รับสิทธิ์จาก 57 เป็น 93 ประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 36 ประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ขยายระยะเวลาพำนักจาก 30 วันเป็น 60 วัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยู่ในประเทศไทยนานขึ้น

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า นอกจากการขยายโครงการ “วีซาฟรี” แล้ว ยังมีการปรับปรุงรายชื่อประเทศที่สามารถขอวีซาหน้าด่านเมื่อเดินทางมาถึงไทย หรือ Visa on Arrival โดยจะมีจำนวนทั้งสิ้น 31 ประเทศและดินแดน ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เพิ่มประเภทวีซาใหม่ที่เรียกว่า “Destination Thailand Visa” หรือ DTV สำหรับชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล โดยวีซาประเภทนี้จะมีอายุ 5 ปี และอนุญาตให้พำนักได้นานถึง 180 วัน พร้อมทั้งสามารถขยายเวลาได้อีก 180 วัน เพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน (Workcation)

 การปรับปรุงสิทธิสำหรับนักศึกษาต่างชาติ

ในส่วนของนักศึกษาต่างชาติ รัฐบาลได้ปรับปรุงสิทธิสำหรับผู้ที่เข้ามาเรียนระดับปริญญาตรีขึ้นไปในประเทศไทย โดยขยายเวลาอยู่ในประเทศหลังจบการศึกษาเป็น 1 ปี เพื่อให้โอกาสในการหางาน เดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักศึกษาต่างชาติที่มีศักยภาพได้อยู่ทำงานในประเทศไทยต่อไป

โฆษกรัฐบาลยังเน้นย้ำว่า รายได้จากภาคการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การขยายโครงการ “วีซาฟรี” และการปรับปรุงนโยบายต่าง ๆ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้มีทักษะสูงให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยยังได้รับการยกย่องจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกรณีล่าสุดที่ทางการไทยได้ให้ความช่วยเหลือเที่ยวบินของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ที่ประสบปัญหา ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นายลอว์เรนซ์ หว่อง ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปร่วมประชุม เอเชียน อินเวสต์เมนต์ คอนเฟอเรนซ์ 2024 ที่เกาะฮ่องกง เพื่อนำเสนอนโยบายของรัฐบาลและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนในประเทศไทย