ปริศนาการหายตัวของเด็กชาย 6 ขวบ: เรื่องราวสยองขวัญที่เชื่อมโยงกับตำนานท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ความตื่นเต้นและความโล่งอกได้แผ่ซ่านไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อเด็กชายวัย 6 ขวบ ที่รู้จักกันในชื่อ “น้องเอ็มร้อย” ได้กลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากหายตัวไปนานถึง 34 ชั่วโมง เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความกังวลให้กับครอบครัวและชุมชนเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งเรื่องราวลึกลับที่เชื่อมโยงกับความเชื่อท้องถิ่นอีกด้วย

น้องเอ็มร้อยหายตัวไปตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของคืนวันที่ 22 กันยายน ทำให้ครอบครัวและชาวบ้านต่างออกตามหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีการแจ้งความและระดมกำลังค้นหาทั่วทั้งพื้นที่ จนกระทั่งเช้าวันที่ 24 กันยายน เวลาประมาณ 06.00 น. เด็กชายได้เดินออกมาจากถุงปุ๋ยที่อยู่ข้างยุ้งข้าวของเพื่อนบ้าน ซึ่งห่างจากบ้านยายของเขาเพียง 30 เมตรเท่านั้น

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ น้องเอ็มร้อยอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บหรือแม้แต่รอยยุงกัด ทั้งที่หายไปนานถึง 34 ชั่วโมง เรื่องราวยิ่งชวนขนลุกเมื่อเด็กชายเล่าว่าได้พบกับ “ยายแก่” ที่มีชื่อว่า “แสงจันทร์” ซึ่งมีลักษณะหน้าสามเหลี่ยม ผมยาว และเล็บยาว ยายคนนี้ได้กวักมือเรียกให้เขาตามไป และพาไปอยู่ในที่ที่เขาไม่รู้จัก

ความเชื่อมโยงกับอดีตอันลึกลับ

นางขวัญ แม่เลี้ยงวัย 32 ปีของน้องเอ็มร้อย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ เธอยืนยันว่าเรื่องเล่าของเด็กชายไม่ใช่เรื่องโกหก และมีความเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในวัยเด็กของเธอเอง นางขวัญเล่าว่าเธอเคยพบเจอกับ “ยายแก่” คนเดียวกันนี้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งในความฝันและในชีวิตจริง

ยายคนนี้มักปรากฏตัวในชุดเสื้อสีน้ำเงิน นุ่งผ้าถุงโจงกระเบน สวมรองเท้าแตะ และมีสะใบสีขาว นางขวัญเล่าว่าเธอมักฝันเห็นภาพบริเวณหน้าบ้านที่มีกระท่อมและรั้วแบบโบราณ ซึ่งเมื่อนำไปสอบถามกับพ่อแม่ ก็ได้รับการยืนยันว่าสถานที่นั้นมีอยู่จริง

นางขวัญยังเชื่อว่าสาเหตุที่น้องเอ็มร้อยหายตัวไปในครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่พ่อของเด็กได้ไปลบหลู่ “ยาย” โดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้ “ยาย” พาตัวเด็กไปซ่อน และปล่อยตัวกลับมาเมื่อพ่อของน้องเอ็มร้อยเดินทางกลับมาถึงบ้าน

การแก้บนและความเชื่อของชุมชน

หลังจากพบตัวน้องเอ็มร้อย ชาวบ้านได้ร่วมกันจัดพิธีรำกันตรึมรอบต้นมะม่วงกะล่อนในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบริเวณที่เด็กชายหายตัวไป เพื่อเป็นการแก้บนและแสดงความขอบคุณที่ได้น้องกลับมาอย่างปลอดภัย

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสำหรับชุมชนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้คนในชนบทไทย แม้ว่าจะอยู่ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม

ในขณะที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปรา แต่สำหรับชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการเคารพและรักษาความเชื่อดั้งเดิม รวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวระหว่างโลกของมนุษย์และสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ