เปิดเผยเบื้องหลัง: ทำไมต้องกำจัด “นกยูงอินเดีย-นกยูงพันธุ์ผสม” ในป่าห้วยขาแข้ง – ความโหดร้ายหรือความจำเป็นทางนิเวศวิทยา

ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2567 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจและถกเถียงในวงกว้าง เมื่อมีการพบเห็นนกยูงอินเดียสีขาวและนกยูงพันธุ์ผสมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งนำไปสู่คำสั่งให้จับหรือกำจัดนกยูงเหล่านี้ออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สั่งการให้นายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ดำเนินการจับนกยูงดังกล่าวออกมาให้หมดโดยเร็ว เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการผสมพันธุ์กับนกยูงไทยพื้นเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชากรนกยูงไทยที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว

การปรากฏตัวของนกยูงต่างถิ่นในพื้นที่อนุรักษ์นี้ สร้างความกังวลอย่างมากในแวดวงนักอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า เนื่องจากการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ระหว่างนกยูงอินเดียและนกยูงไทยอาจนำไปสู่การเกิดลูกผสมที่มียีนด้อย สุขภาพไม่แข็งแรง และอายุสั้น ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลให้ประชากรนกยูงไทยในพื้นที่ลดลงจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

ความแตกต่างทางชีววิทยา: นกยูงไทยและนกยูงอินเดีย

นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอหม่อง” อาจารย์แพทย์โรคหัวใจและนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแตกต่างทางชีววิทยาระหว่างนกยูงไทย (Pavo muticus) และนกยูงอินเดีย (Pavo cristatus) ว่าเป็นคนละสปีชีส์กัน ซึ่งมีวิวัฒนาการแยกจากกันมาเป็นเวลานานหลายล้านปี เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่แตกต่างกัน

หมอหม่องยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความบริสุทธิ์ทางพันธุกรรมของนกยูงไทย ซึ่งปัจจุบันมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในระดับโลก ในขณะที่นกยูงอินเดียยังมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก การปล่อยให้เกิดการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์จึงอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความอยู่รอดของนกยูงไทยในระยะยาว

ความพยายามในการจับกุมนกยูงต่างถิ่นดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย ทั้งจากฝ่ายวิชาการป่าไม้และสัตว์ป่า เจ้าหน้าที่จุดสกัด และหน่วยพิทักษ์ป่าต่างๆ เพื่อค้นหาและดักจับนกยูงเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ผลการปฏิบัติการกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต ได้รายงานว่าไม่พบนกยูงพันธุ์ผสมตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน และไม่พบนกยูงอินเดียสีขาวตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้พบเศษขนของนกยูงอินเดียสีขาวพร้อมรอยเลือด แต่ไม่พบซาก ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจถูกสัตว์ผู้ล่าทำร้ายหรือกินไปแล้ว

แม้ว่าการปฏิบัติการจะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมีแผนเพิ่มจุดตั้งกล้องดักถ่ายภาพและเดินเท้าตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหานกยูงพันธุ์ผสมที่ยังไม่พบตัว

นายอรรถพล เจริญชันษา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของปัญหานี้ในแง่ของผลกระทบต่อระบบนิเวศ และเปิดเผยว่าหากไม่สามารถจับนกยูงต่างถิ่นได้ อาจต้องพิจารณาทางเลือกสุดท้ายคือการทำการุณยฆาต ซึ่งเป็นวิธีที่หลายประเทศนำมาใช้ในสถานการณ์คล้ายกันนี้ แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวต่อระบบนิเวศเป็นสำคัญ

สถานการณ์นี้ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในสังคมไทยเกี่ยวกับจริยธรรมในการอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อม ในขณะที่บางคนมองว่าการกำจัดนกยูงต่างถิ่นเป็นการกระทำที่โหดร้าย แต่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกลับมองว่าเป็นความจำเป็นเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศและปกป้องสายพันธุ์ท้องถิ่นที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์