ในยุคที่ภัยอาชญากรรมทางการเงินกำลังระบาดหนัก แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่คร่าชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนมากมาย แต่ในวันนี้ เราจะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องราวนี้ ผ่านชีวิตของชายหนุ่มผู้เคยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดโดยไม่เต็มใจ
นาย เอ (นามสมมติ) ชายไทยวัย 29 ปี อดีตเจ้าหน้าที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมี ดร.พิมไหม ศักดิพัตโภคิน หรือที่รู้จักกันในนาม “มาดามส้ม” ประธานมูลนิธิดาวเหนือ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ นายเอได้แสดงความประสงค์ที่จะบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเหยื่อที่เขาเคยหลอกลวง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องจบชีวิตลงเพราะความสิ้นหวังจากการสูญเสียทรัพย์สิน
เส้นทางชีวิตที่พลิกผัน: จากผู้ถูกหลอกสู่ผู้หลอกลวง
นายเอเล่าว่า เขาถูกหลอกให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเข้าใจว่าจะเป็นงานโทรศัพท์ตามหาพัสดุของลูกค้า แต่เมื่อไปถึงที่หมาย กลับพบว่าตนต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงคนไทยด้วยกันเอง นายเอต้องทำงานอยู่ 8 เดือน ภายใต้แรงกดดันและการข่มขู่ว่าจะถูกทำร้ายร่างกายหากทำยอดไม่ได้ตามเป้า
ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อนายเอได้รับรู้ถึงผลกระทบร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับเหยื่อของเขา บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนล้มป่วย และที่เลวร้ายที่สุดคือมีบางรายถึงกับฆ่าตัวตาย ความสำนึกผิดนี้ทำให้นายเอตัดสินใจหาทางหลบหนีจากวังวนอาชญากรรม จนในที่สุดได้รับความช่วยเหลือจากมาดามส้มให้กลับมาประเทศไทยได้
พิธีบวชแห่งการไถ่บาป: เส้นทางสู่การชดใช้และการให้อภัย
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 มาดามส้มได้พานายเอไปบวชที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ในพิธีอันเรียบง่ายที่มีเพียงครอบครัวมาร่วมเท่านั้น การบวชครั้งนี้เป็นความต้องการของนายเอเอง ที่หวังจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเหยื่อทุกราย
มาดามส้มให้ความเห็นว่า นายเอเองก็ถือเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกคนหนึ่ง เนื่องจากถูกหลอกและถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ การที่เขาสำนึกผิดและต้องการชดใช้ จึงสมควรได้รับโอกาสในการกลับตัวเป็นคนดี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ตั้งข้อหาใดๆ กับนายเอ เพราะถือว่าเขาเป็นผู้เสียหายเช่นกัน
เรื่องราวของนายเอสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับเหยื่อโดยตรงเท่านั้น แต่ยังทำลายชีวิตของผู้ที่ถูกหลอกให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการด้วย การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการป้องกัน การปราบปราม และการให้โอกาสผู้ที่ต้องการกลับตัวเป็นคนดี เพื่อตัดวงจรอาชญากรรมนี้ให้สิ้นซากในที่สุด