คุณวุฒิปริญญาเอกของ ‘หมอเกศ’ ถูกตั้งคำถาม: อ.อ๊อด เผยหลักฐานชี้ชัดเป็นวุฒิปลอม

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สังคมไทยได้ให้ความสนใจอย่างมากกับประเด็นคุณวุฒิการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร. พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอเกศ” ผู้ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประจำปี 2567 ความสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของเธอได้ปะทุขึ้นหลังจากการปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ ซึ่งเผยให้เห็นถึงทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่สอดคล้องกับระดับการศึกษาที่อ้างว่าสำเร็จมาจากสหรัฐอเมริกา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ทนายเดชา ตัวแทนทางกฎหมายของหมอเกศ ได้ออกมาแถลงยืนยันถึงความถูกต้องของวุฒิการศึกษาของหมอเกศ โดยระบุว่าได้รับการเทียบโอนจาก California University และยืนยันว่าหมอเกศไม่ได้กระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด พร้อมทั้งเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ทำให้หมอเกศเสื่อมเสียชื่อเสียง

อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม โดยระบุว่าเอกสารเทียบวุฒิที่หมอเกศใช้นั้นเป็นเพียงวุฒิปลอม ซึ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงิน อ.อ๊อด ยังเน้นย้ำว่าการใช้คำนำหน้าว่า “ศาสตราจารย์” ในประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น

 การเปรียบเทียบใบปริญญา: ความแตกต่างที่ชัดเจน

อ.อ๊อด ได้นำเสนอการเปรียบเทียบระหว่างใบปริญญาจาก University of California, Los Angeles (UCLA) กับใบปริญญาของ California University ที่หมอเกศอ้างถึง โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญดังนี้:

  1. ใบปริญญาจาก UCLA:

   – ระบุสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษาอย่างชัดเจน

   – มีข้อมูลที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

   – มีลายเซ็นรับรองจากผู้ว่าการรัฐ

 

  1. ใบปริญญาของหมอเกศ:

   – ระบุว่าเป็นบริษัท ไม่ใช่มหาวิทยาลัย

   – ไม่มีการระบุ “ดร.” ในสาขารัฐศาสตร์

   – รับรองโดยเจ้าของบริษัท ไม่ใช่ผู้มีอำนาจทางการศึกษา

นอกจากนี้ นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระทรวง อว. ยังไม่เคยมีการรับรองการเทียบวุฒิของ California University แต่อย่างใด

ประเด็นนี้ได้สร้างความสนใจและการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเมืองไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามการพัฒนาของเรื่องราวนี้ต่อไป เพื่อความชัดเจนและความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง