นักจับงูมือฉมังพบจงอางยักษ์ 5 เมตรในสตูล สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวบ้าน

ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 โลกออนไลน์ได้ถูกจุดประกายด้วยคลิปวิดีโอที่น่าตื่นเต้นของ บังยา บองหลาคิงค์ นักจับงูอสรพิษผู้มีชื่อเสียงแห่งภาคใต้ ซึ่งได้เผชิญหน้ากับงูจงอางขนาดมหึมาที่มีความยาวถึง 5 เมตร ในพื้นที่อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล คลิปดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มียอดผู้เข้าชมนับล้านครั้งในเวลาอันรวดเร็ว

บังยา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในการจับงูจงอาง หรือที่ชาวใต้เรียกว่า “บองหลา” มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ได้ตั้งชื่อให้กับงูยักษ์ตัวนี้ว่า “เจ้าดำสตูล” พร้อมกับเขียนแคปชั่นในโพสต์ว่า “โคตรบองหลา!! #เจ้าดำสตูล ที่สุดของที่สุดที่เคยจับมา” สะท้อนให้เห็นถึงความพิเศษของงูตัวนี้

ความท้าทายในการจับ “เจ้าดำสตูล”

การจับงูจงอางยักษ์ตัวนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย บังยาต้องเผชิญกับพื้นที่ซึ่งเป็นซอกหินและมีกิ่งไม้รกทึบขวางอยู่ นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะงูตัวนี้เพิ่งกินอาหารอิ่มใหม่ๆ ทำให้มีความดุร้ายมากกว่าปกติ

บังยาเล่าถึงประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นว่า เมื่อเขาเข้าไปใกล้ งูได้พุ่งออกมาโจมตีอย่างฉับพลัน สร้างความลุ้นระทึกและหวาดเสียวให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนาน บังยาสามารถใช้มือเปล่าคว้าหัวงูเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ และจับงูจงอางยักษ์ตัวนี้ได้สำเร็จโดยปราศจากอันตราย

ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น

การปรากฏตัวของงูจงอางยักษ์ตัวนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวสวนยางในบริเวณที่พบงู พวกเขาไม่กล้าออกมากรีดยางเป็นเวลานานกว่าครึ่งเดือน ส่งผลให้การทำมาหากินหยุดชะงัก สถานการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านต้องร้องขอความช่วยเหลือจากบังยา เพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงนี้

บังยาประเมินว่างูตัวนี้มีความยาวประมาณ 5 เมตร โดยสังเกตเห็นว่าบริเวณท้องของงูป่องออกมา ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเกิดจากการกินงูเหลือมขนาดใหญ่เข้าไป นี่ยิ่งเพิ่มความอันตรายให้กับสถานการณ์ เนื่องจากงูที่เพิ่งกินอาหารมักจะมีพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยากและอาจจะดุร้ายมากขึ้น

บังยากล่าวทิ้งท้ายว่า ตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานจับงู “เจ้าดำสตูล” คือกรณีที่ท้าทายที่สุดทั้งในแง่ของขนาดงูและความยากในการจับ โดยให้คะแนนความยากถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพิเศษของเหตุการณ์ครั้งนี้

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งของบังยาเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่า รวมถึงความจำเป็นในการมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเช่นบังยา ที่สามารถจัดการกับสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ