โครงการเรือธงของรัฐบาลในการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตได้มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังจากได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสาธารณชน ทีมงานกระทรวงการคลังได้ตัดสินใจลดวงเงินโครงการลงจาก 5 แสนล้านบาทเหลือเพียง 4.5 แสนล้านบาท พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนแหล่งเงินทุนและเกณฑ์การใช้จ่ายใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณของประเทศ
การปรับลดวงเงินและแหล่งเงินทุน
ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดำเนินงานโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้มีมติปรับลดวงเงินโครงการลงเหลือ 450,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 500,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ประมาณ 45 ล้านคน ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ 50 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในโครงการ โดยตัดการใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกไป เหลือเพียงการใช้งบประมาณจากปี 2567 และ 2568 เท่านั้น โดยแบ่งเป็นงบประมาณปี 2567 จำนวน 160,000 ล้านบาท และงบประมาณปี 2568 จำนวน 285,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบประมาณประจำและการบริหารจัดการเพิ่มเติม เช่น การใช้งบกลาง งบผูกพันที่ใช้ไม่ทัน หรือการทำงบประมาณเพิ่มเติม
การปรับเปลี่ยนเกณฑ์การใช้จ่าย
ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มรายการสินค้าที่ไม่สามารถใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตซื้อได้อีก 3 รายการ ได้แก่:
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- อุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน
เหตุผลของการห้ามซื้อสินค้าเหล่านี้ คือต้องการให้เม็ดเงินกระตุ้นการใช้จ่ายกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ และป้องกันการกระจุกตัวของการใช้จ่าย เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีราคาสูงและส่วนใหญ่ผลิตจากต่างประเทศ
มาตรการป้องกันการทุจริต
เพื่อป้องกันการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ทางโครงการได้กำหนดให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องลงทะเบียนใช้ซิมโทรศัพท์มือถือแบบรายเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังคงมาตรการให้ใช้จ่ายรอบแรกจากประชาชนกับร้านค้าภายในรัศมีอำเภอ ส่วนการใช้จ่ายระหว่างร้านค้าต่อร้านค้าไม่จำกัดพื้นที่ และการถอนเงินออกต้องเป็นร้านค้าในระบบภาษีเท่านั้น
ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ย้ำว่า มติดังกล่าวยังเป็นเพียงมติของคณะอนุกรรมการเท่านั้น จะต้องนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาในวันที่ 15 และ 24 กรกฎาคม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการต่อไป
อย่างไรก็ตาม โครงการยังคงเดินหน้าตามกำหนดการเดิม โดยจะเริ่มลงทะเบียนภายในปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคม และจะปิดลงทะเบียนก่อนสิ้นเดือนกันยายน โดยประชาชนจะได้รับเงินไปใช้ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ตามแผนเดิม